พริบตาเดียว ฝ่ามือของหลิ่วหมิงก็ถูกเกล็ดสีแดงปกคลุมไว้ และเปล่งแสงสีแดงจางๆ ออกมา แต่บนเกล็ดไม่มีกลิ่นไออย่างอื่นเลย ราวกันว่ามันเป็นสิ่งที่มีติดตัวมาแต่กำเนิด
ตอนที่เกล็ดเหล่านี้โผล่ออกมา หลิ่วหมิงได้ส่งพลังจิตตรวจสอบผิวหนังใต้ฝ่ามืออย่างละเอียดแล้ว
สาเหตุที่เกล็ดมังกรเหล่านี้โผล่ออกมา เป็นเพราะว่าหลังจากใช้พลังเวทย์กระตุ้นฝ่ามือแล้ว จะมีแสงสีแดงแวววาวเป็นจุดๆ โผล่ออกมาจากกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง และพอมันพุ่งออกจากผิวหนัง ก็จะกลายเป็นเกล็ดสีแดงดังเช่นตอนนี้
และพอเขาเรียกพลังเวทย์กลับมา เกล็ดมังกรเหล่านี้จะหดตัวย่อส่วนลงไปอยู่ใต้ผิวหนังอย่างรวดเร็ว และหายเข้าไปในกล้ามเนื้อ จนมองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ เลย
พอหลิ่วหลิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าจะไม่ได้แสดงอาการประหลาดใจออกมา แต่ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
สำหรับเขาแล้ว การที่เกล็ดมังกรซ่อนตัวอยู่ภายในร่าง ซึ่งสามารถปรากฏออกมาและหายไปได้ตลอดเวลา นับว่าเป็นเรื่องที่สามารถยอมรับได้
เพราะว่าถ้าไม่เจอกับศัตรู ใครก็ไม่อยากให้มีสิ่งของที่คล้ายกับปีศาจอสูรโผล่ออกมาในร่าง
แต่จะว่าไปแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเกล็ดของมังกรแดงระดับผลึก แม้จะไม่รู้สาเหตุแท้จริงที่กลิ่นไอมังกรถูกจำกัดไป แต่ความแข็งแกร่งในการป้องกัน กลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน จากการต่อสู้ในหลายครั้งก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ จากนั้นเขาก็กระตุ้นพลังเวทย์ไปที่แขน เพื่อที่จะพิสูจน์วิธีการอื่นๆ
เขาจ้องมองออกไปทันที
แขนที่ม้วนตัวขึ้น เริ่มถูกเกล็ดมังกรแดงห่อหุ้มไว้
แต่พอหลิ่วหมิงรับรู้ได้ว่ากล้ามเนื้อใต้ผิวหนังยังคงมีจุดสีแดงกำเนิดออกมา เขาก็เลิกคิ้ว และส่งพลังเวทย์กระตุ้นผิวหนังตรงแขนอยู่ไม่หยุด
ฉากอันน่าประหลาดใจได้ปรากฏขึ้นแล้ว
เริ่มปรากฏเกล็ดชั้นที่สองออกมา และทั้งสองก็ค่อยๆ ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ทำให้เกล็ดบนแขนดูหนาแน่นขึ้นมา คงไม่ต้องสงสัยว่าพลังการป้องกันของมันจะเพิ่มขึ้นมามากเท่าใด
พอรับรู้ได้ว่ายังมีจุดแสงเหลืออยู่เล็กน้อย เกล็ดชั้นที่สามก็เริ่มทับซ้อนออกมา
พอเกล็ดชั้นที่สามทับซ้อนออกมา ก็ไม่มีจุดแสงเหลืออยู่ในกล้ามเนื้ออีกเลย
หลิ่วหมิงมองดูแขนอัปลักษณ์ที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มด้วยตาที่เป็นประกาย มืออีกข้างก็ทำท่ามือ ทันใดนั้นคมวายุสีเขียวจางๆ ได้ปรากฏออกมา และฟันใส่แขนอัปลักษณ์อย่างไม่ปราณี
“ฟิ้ว!”
คมวายุฟันลงบนแขน แต่กลับต้องดีดตัวกลับในพริบตา ซึ่งไม่สามารถทิ้งร่องรอยไว้บนนั้นได้เลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก กระบี่สั้นสีทองถูกกำแน่นอยู่ในมือ และเปล่งแสงเย็นสะท้านกรีดใส่แขนที่มีเกล็ดห่อหุ้มอยู่
“ฟิ้ว!”
ร่องรอยสีขาวจางๆ ปรากฏขึ้นบนเกล็ด แต่ไม่สามารถทำลายเกล็ดหนาๆ นี้ได้
หลิ่วหมิงปล่อยพลังเวทย์ใส่กระบี่จันทราทองคำด้วยความตื่นเต้น
“ฟู่!”
ลำแสงสีทองยาวหลายชุ่นพุ่งออกจากปลายกระบี่ และแทงเข้าใส่ท่อนแขน
แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายออกมา
มีรูสีขาวเล็กๆ อยู่บนแขนหลิ่วหมิง แต่ไม่มีโลหิตไหลออกมาเลย
หลิ่วหมิงจ้องมองอย่างละเอียด ก็พบว่ารูนี้ทะลุแค่เกล็ดสองชั้นที่อยู่ภายนอกเท่านั้น ซึ่งยังไม่ทะลุชั้นที่สามเลยแม้แต่น้อย
แค่นี้ก็ทำให้เขาปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง
อย่างที่รู้อยู่ว่า กระบี่จันทราทองคำในมือเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด แม้จะมีชั้นจำกัดต่ำสุดแค่ยี่สิบแปดชั้น แต่ก็มีอานุภาพแตกต่างจากอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง ที่มีชั้นจำกัดยี่สิบเจ็ดชั้นราวฟ้ากับดิน
และบนแขนเขามีเกล็ดมังกรซ้อนทับกันแค่สามชั้น หากทำให้เกล็ดเหล่านี้แนบชิดติดกันมากขึ้น และซ่อนทับกันอีกสองสามชั้นล่ะก็ ไม่เท่ากับว่าสามารถรับการโจมตีของอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดได้อย่างไม่มีปัญหาหรือ!
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่เช่นนี้ พอกระตุ้นพลังเวทย์ เกล็ดบนแขนก็หายไปอย่างรวดเร็ว และเริ่มไปปรากฏบนกำปั้นเป็นชั้นๆ
ไม่นาน กำปั้นที่ถูกเกล็ดหนาๆ จำนวนมากห่อหุ้มอยู่ ก็ปรากฏตรงหน้าหลิ่วหมิง
กำปั้นกลายเป็นสีแดงเข้ม แผ่นเกล็ดซ้อนตัวกันสิบกว่าชั้น
หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว และขยับนิ้วทั้งห้าที่ดูไม่ค่อยจะคล่องแคล่วมากนัก ทันใดนั้นก็คว้าออกไปด้านข้าง แขนของเขาขยายใหญ่ขึ้นมาเท่าตัว นิ้วสีแดงเข้มทั้งห้าจมลงในผนังหินอย่างง่ายดาย ราวกับมีดที่เสียบเข้าไปในก้อนเต้าหู้
หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ และดึงนิ้วทั้งห้ากลับมาด้วยความพอใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา