หลิ่วหมิงกับชายหนุ่มหน้าดำได้ยินเช่นนี้ ก็จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก็รับโอสถที่หยวนหมัวมอบให้พร้อมกับกล่าวขอบคุณออกมา
เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็ดูไม่ได้ขึ้นมา
แต่เย่เทียนเหมยกลับขมวดคิ้ว และสังเกตดูหลิ่วหมิงสองสามที แล้วพลันกล่าวออกมา
“ศิษย์หลานหลิ่ว ใยต้องเก็บซ่อนด้วยเล่า พลังจิตที่เจ้าแสดงออกมาคงยังไม่ถึงขีดสุดสินะ! ครั้งก่อนที่เจ้าประมือกับอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางของเผ่าเจ้าสมุทร พลังจิตที่ปล่อยออกมาในตอนท้ายคงไม่ได้มีแค่นี้”
พอคำพูดนี้ออกจากปาก ผู้คนที่นั่งอยู่ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา
เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กับผู้อาวุโสหลิงอวี้กลับแสดงอาการประหลาดใจมากกว่าใคร
หยวนหมัวมองดูหลิ่วหมิงอีกครั้งด้วยความสนใจ
อาจารย์อาเยี่ยนกลับเอานิ้วฟั่นหนวดอยู่ครู่หนึ่ง และค่อยๆ กล่าวกับหลิ่วหมิง
“ศิษย์หลานหลิ่ว ในเมื่อผู้อาวุโสทุกท่านอยากเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องปิดบังอะไรอีกต่อไป รีบแสดงความแข็งแกร่งของหนึ่งจิตสองพลังที่เจ้ามีออกมาเถอะ!”
“ในเมื่ออาจารย์อากล่าวเช่นนี้ ศิษย์ย่อมไม่กล้าฝ่าฝืน!” สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปมา และกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“หนึ่งจิตสองพลัง!”
หยวนหมัวเลิกคิ้ว ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงได้สูดหายใจเข้าลึกๆ และเก็บขวดใบเล็กเข้าไป จากนั้นก็เปลี่ยนเคล็ดวิชา พลังจิตที่แข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าก่อนหน้านั้นพุ่งออกจากระหว่างคิ้ว ระลอกคลื่นแวววาวที่ค่อยๆ หมุนวนรอบเขาอยู่ ขยายใหญ่ขึ้นมาเกือบครึ่งหนึ่ง
แม้ว่าพลังจิตอันแข็งแกร่งเป็นพิเศษนี้ จะไม่เป็นที่ตื่นตะลึงในสายตาของผู้ฝึกฝนระดับผลึก แต่สำหรับอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว กลับเป็นเรื่องน่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเหมือนกับว่าพลังจิตของเขาจะแตกต่างกับอาจารย์จิตวิญญาณขั้นต้นสามเท่าขึ้นไป ตอนนี้มันเบียดเสียดพลังจิตของชายหนุ่มหน้าดำที่กลายเป็นพายุบ้าระห่ำจนดูเอนเอียงขึ้นมา
ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างอย่างอดไม่ได้
ผู้อาวุโสหลิงอวี้ก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา ดวงตาทั้งคู่จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยตาที่เป็นประกาย และพูดคำว่า “เสียดาย” ออกมา
สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับผลึกจากหุบเขาเก้าช่องแล้ว การที่หลิ่วหมิงมีพลังจิตมหาศาลเช่นนี้ ต้องฝึกฝนวิชาหุ่นของหุบเขาเก้าช่อง ถึงนับว่าไม่เสียดายพรสรรค์ที่มี
อาจารย์อาเยี่ยนเห็นเช่นนี้ กลับเผยรอยยิ้มออกมา เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกพอใจกับพลังจิตที่หลิ่วหมิงปล่อยออกมามาก
“ดี! คิดไม่ถึงว่าพลังจิตของศิษย์หลานหลิ่วจะมาถึงระดับนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ น่าจะลองดู!” หยวนหมัวเห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“สหายหยวนหมัว พูดจริงหรือ!” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ได้ยิน ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
“เรื่องแบบนี้ ข้าจะพูดเท็จได้อย่างไร แต่ถ้าต้องการศิษย์นิกายท่านจริงๆ ล่ะก็ ต้องให้ศิษย์หลานหลิ่วผู้นี้ยินยอมถึงจะได้ เพราะวิธีที่ข้าใช้อันตรายเป็นอย่างมาก อาจจะทำให้ศิษย์หลานหลิ่วสลบไสลไม่ได้สติ” หยวนหมัวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“แน่นอน! สหายเยี่ยน ดูท่าในเมืองของเราตอนนี้ คงมีแต่ศิษย์หลานหลิ่วเพียงคนเดียวที่เหมาะสม ท่านคิดว่าอย่างไร?” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่พยักหน้า และกล่าวกับอาจารย์อาเยี่ยนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าได้พูดไว้แต่แรกแล้วว่า ถ้านิกายข้ามีคนที่เหมาะสม ข้าย่อมไม่ขัดขวางอย่างแน่นอน แต่เรื่องนี้อันตรายถึงเพียงนี้ หากศิษย์หลานหลิ่วไม่ยินยอม ข้าก็จะไม่บังคับเขา” อาจารย์อาเยี่ยนหุบยิ้มแล้วกล่าวออกมา
“แน่นอน! เพียงแค่ศิษย์หลานช่วยให้จางซิ่วเหนียงฟื้นได้ นิกายเราจะตอบแทนศิษย์หลานหลิ่วอย่างแน่นอน” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าวอย่างไม่ลังเล
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว ต่อไปสหายทั้งสองก็พูดคุยรายละเอียดกับศิษย์หลานหลิ่วเถอะ!” อาจารย์อาเยี่ยนได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา
หลิ่วหมิงกับชายหนุ่มแซ่อวิ๋นได้ยินเช่นนี้ ก็พอจะเข้าใจลางๆ ว่าเป็นเพราะเหตุใด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา