สรุปเนื้อหา ตอนที่ 292 – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet
บท ตอนที่ 292 ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
“สหายเยี่ยนย่อมรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้น พวกเขาจะยอมให้ศิษย์แกนนำอย่างพวกเจ้ามาเสี่ยงอันตรายได้อย่างไร แน่นอนว่าหากเจ้ารับปากเรื่องนี้ พวกเรานิกายจันทราสวรรค์ย่อมตอบแทนให้อย่างสมใจ จะไม่ให้ศิษย์หลานหลิ่วเสี่ยงอันตรายอย่างเปล่าประโยชน์ ส่วนเงื่อนไขที่เป็นรูปธรรมนั้น ให้เจ้าเสนอกับนิกายเราได้เลย ศิษย์หลานหลิ่ว เจ้าคิดให้ละเอียดก่อนแล้วค่อยตอบข้า” เย่เทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ข้าสามารถเสนอเองได้?” หลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้ ก็รู้สึกใจเต้นอย่างอดไม่ได้
อย่างที่รู้ว่า เรื่องที่เขากังวลที่สุดในตอนนี้คือการถูกยึดร่าง ด้วยกำลังของนิกายจันทราสวรรค์ ถึงแม้อาจจะไม่มีอาวุธจิตวิญญาณที่เกี่ยวข้อง แต่ยันต์ที่ใช้ในการป้องกันคงหาได้ไม่ยาก
พอเห็นหลิ่วหมิงทำท่าครุ่นคิดและไม่พูดอะไรออกมา เย่เทียนเหมยก็กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“ข้ารู้ว่าวิชากระบี่ของเจ้าในตอนนี้ นับว่าเข้าสู่ขั้นต้นแล้ว แต่วิชากระบี่ขั้นสูงไม่ได้มีขายตามตลาด ถ้าเจ้าช่วยจางซิ่วเหนียงฟื้นมาได้ล่ะก็ ข้าสามารถถ่ายทอดเคล็ดวิชากระบี่ขั้นสูงที่ไม่ใช่ของนิกายเราให้ได้ แม้มันไม่อาจเทียบได้กับเคล็ดวิชากระบี่ของนิกายเรา แต่ก็ทำให้เจ้ามีโอกาสเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ที่แท้จริงได้”
“เคล็ดวิชากระบี่ขั้นสูง! ขอบคุณความเมตตาของผู้อาวุโส ต่อไปข้าน้อยต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง เพื่อเตรียมฝึกฝนวิชาเฉพาะของนิกาย วิชากระบี่บินต้องเก็บไว้ก่อน” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ เคล็ดวิชาระดับเหนือสุดยอดอย่างเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งก็ผุดขึ้นในสมอง จากนั้นก็ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
“อันนี้ก็แล้วแต่เจ้า แต่ดูจากสภาพของเจ้า คงจะมีสิ่งของที่อยากได้แล้วสินะ” เย่เทียนเหมยไม่แสดงสีหน้าแปลกใจออกมาเลย
“ผู้อาวุโสเย่มีสายตาเฉียบแหลมมาก ข้าน้อยต้องการของบางอย่างจริงๆ แต่ไม่ทราบว่านิกายของท่านมีหรือไม่?” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“อืม! ลองพูดมาคร่าวๆ ก่อน ต่อให้นิกายเราจะไม่มี ข้าก็รับปากจะหาให้เจ้า” เย่เทียนเหมยแสดงสีหน้าสนใจออกมาเป็นครั้งแรก
“ในเมื่อผู้อาวุโสกล่าวเช่นนี้แล้ว ข้าน้อยก็จะพูดตามตรง” หลิ่วหมิงถอนหายใจ และแสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
……
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เมื่ออาจารย์อาเยี่ยน เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ และหยวนหมัวได้รับการบอกล่าวให้กลับเข้าห้องโถงใหญ่นั้น หลิ่วหมิงยังคงยืนอยู่หน้าเย่เทียนเหมยอย่างนอบน้อม
“อะไรนะ! ท่านเซียนเย่พูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว!” อาจารย์อาเยี่ยนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็รีบเอ่ยปากถามเป็นคนแรก
เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ ก็แสดงสีหน้าสนใจออกมา
“พี่เยี่ยนวางใจเถอะ! ข้าจะรังแกผู้น้อยได้อย่างไร ศิษย์หลานหลิ่วรับปากจะช่วยแล้ว และข้าก็รับปากจะตอบแทนให้เขาอย่างพอใจ” เย่เทียนเหมยปราดสายตามองอาจารย์อาเยี่ยนทีหนึ่ง และกล่าวออกมา
“ศิษย์หลานหลิ่ว มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ?” อาจารย์อาเยี่ยนมาถามหลิ่วหมิงอย่างไม่เกรงใจ
“ขอบคุณอาจารย์อาที่เป็นห่วง ผู้อาวุโสเย่ได้รับปากในสิ่งที่ศิษย์อยากได้มากที่สุดแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อม
“ได้!” อาจารย์อาเยี่ยนพยักหน้า และรู้สึกวางใจขึ้นมาจริงๆ
“ดีมาก! ศิษย์น้องเย่ลำบากเจ้าแล้ว” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่แสดงสีหน้าดีใจออกมาอย่างอดไม่ได้
“ในเมื่อสหายทุกท่านพูดคุยกับศิษย์หลานหลิ่วเรียบร้อยแล้ว อย่าได้ชักช้าอยู่เลย รีบวางค่ายกลที่เกี่ยวข้องเถอะ สถานการณ์ของศิษย์หลานจางในตอนนี้ ยิ่งยืดเวลานานออกไปก็จะยิ่งเลวร้ายมากขึ้น นอกจากนี้ สหายเยี่ยน ท่านบอกเรื่องที่จำเป็นต้องระมัดระวังให้กับศิษย์หลานหลิ่วด้วย ท่านเซียนเย่ ตอนนี้ท่านไปยืมแผ่นเก้าวัฏจักรจิตวิญญาณที่นิกายหมื่นมหัศจรรย์มาเถอะ!” หยวนหมัวเห็นเช่นนี้ ก็สั่งอย่างไม่เกรงใจ
เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลอันดับหนึ่งในอวิ๋นชวน ทุกคนย่อมตอบรับอย่างไม่ลังเล
ครึ่งวันต่อมา ค่ายกลสีทองขนาดใหญ่หมู่กว่าๆ ก็ถูกตั้งวางอยู่ในห้องโถงใหญ่
ไม่เพียงแต่มีผลึกหินหลากสีเกือบร้อยก้อน เลี่ยมฝังอยู่ในรอยเว้าตรงขอบค่ายกลเท่านั้น ใจกลางค่ายกลยังมีแท่นหยกที่สูงจั้งกว่าๆ สองแท่น
บนแท่นหยกแท่นหนึ่ง มีหญิงสาวสวยงาม ใบหน้าซีดขาว คิ้วเรียวยาว ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิทนอนอยู่
นางคือจางซิ่วเหนียงนั่นเอง
บนแท่นหยกอีกแท่นกลับว่างเปล่า แต่มีแสงทรงกรดเจ็ดสีเปล่งประกายอยู่ด้านบน แผ่นกลมๆ สีขาวขนาดเท่าฝ่ามือลอยอยู่ในนั้น
หยวนหมัวและคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ตรงขอบค่ายกล และมีหญิงชุดม่วงแห่งนิกายหมื่นมหัศจรรย์ที่เรียกกันว่า ‘ท่านเซียนสือ’ อยู่ในนั้นด้วย
นางสังเกตเห็นดูค่ายกลสีทองในห้องโถงด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
หลิ่วหมิงยืนอยู่ไกลออกไปอีกหน่อย บนตัวมียันต์สิบกว่าแผ่นแปะอยู่ และอักขระสีเงินจางๆ จำนวนมากที่ดูซับซ้อนปรากฏอยู่บนชุดคลุมยาว ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย
“ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงพอดี ได้เวลาพอประมาณแล้ว ศิษย์หลานหลิ่วเข้าค่ายกลได้แล้ว” หยวนหมัวกำลังถือแหวนอยู่ในมือ หลังจากเงยหน้ามองออกไปนอกประตูวิหารแล้ว ก็หรี่ตาแล้วกล่าวออกมา
“ทราบ! ข้าน้อยรับคำสั่ง!”
พอมีเสียงคำรามต่ำออกมา นิ้วทั้งห้าก็กำแน่น และโจมตีออกไปด้านหน้าทันที
“ตุ๊บ!” ต้นไม้ตรงหน้าสั่นไหวไปมา และมีรอยกำปั้นจางๆ ปรากฏอยู่บนนั้น
“พอได้! แม้ว่าจะไม่มีพลังเวทย์ แต่ความแข็งแกร่งยังอยู่ในระดับเดียวกันกับก่อนที่จะเป็นผู้ฝึกฝน แต่ไม่รู้ว่าเคล็ดวิชามนุษย์ธรรมดาที่เคยฝึกฝน จะสามารถใช้ในสถานที่แห่งนี้ได้หรือไม่” หลิ่วหมิงมองดูกำปั้นที่แดงเล็กน้อย และสูดหายใจลึกๆ ในทันที
ทันใดนั้นก็มีเสียงราวกับประทัด ดังขึ้นในร่างของเขา แขนทั้งสองขยายใหญ่ขึ้นหนึ่งเท่า
“ดูท่าเพียงแค่ไม่เกี่ยวข้องกับพลังเวทย์ สิ่งอื่นๆ ล้วนไม่แตกต่างจากโลกภายนอก จุ๊ๆ! ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่า โลกมายาเช่นนี้จะถูกสร้างขึ้นจากแมลงพิษตัวหนึ่งเท่านั้น มิน่าเจ้าแมลงหลงฝันนี้ถึงจัดอยู่ในห้าแมลงพิษที่ชั่วร้ายที่สุด ช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจจริงๆ” หลิ่วหมิงจ้องมองสรรพสิ่งที่อยู่รอบด้านแล้วพูดพึมพำออกมา พอเขาสะบัดแขน มันก็กลับมามีขนาดเท่าเดิม
จากนั้น เขาก้าวเดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงขอบยอดเขา และมองลงไปด้านล่าง
ตรงเชิงเขามีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง มีควันสีดำหมุนวนเป็นเกลียวออกมา ประจักษ์ชัดว่ามีคนอาศัยอยู่ในนั้น
สถานที่อื่นๆ เป็นยอดเขาสีดำทอดยาวติดต่อกันจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
“ตามที่อาจารย์อาบอกไว้ ตอนที่ส่งเข้ามาได้อาศัยกลิ่นไอแฝงส่วนหนึ่งของจางซิ่วเหนียง ทำให้เขามาอยู่ห่างจากนางไม่ค่อยไกลมากนัก สถานที่เปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ หรือว่านางจะอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้จริงๆ ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ มันช่วยลดความยุ่งยากลงไปมากเลยทีเดียว” หลิ่วหมิงพูดกับตนเองด้วยตาที่เป็นประกาย
จากนั้นเขาก็ก้าวยาวๆ ไปตามทางเส้นเล็กๆ เพื่อลงไปยังเชิงเขา
แม้หลิ่วหมิงจะไม่มีพลังอยู่ในร่าง แต่ฝีเท้ายังคงรวดเร็วประดุจบินได้ ภายในเวลาครึ่งเค่อ ก็มาถึงบริเวณหมู่บ้านตรงเชิงเขาแล้ว
เขาไม่ได้บุกเขาไปในหมู่บ้านทันที แต่กลับกระโดดขึ้นบนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่บริเวณนั้น จากนั้นก็อาศัยกิ่งใบของต้นไม้อำพรางตัวไว้ และสังเกตดูอย่างเงียบๆ
เห็นได้ชัดว่าหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ค่อยใหญ่มากนัก ดูจากจำนวนบ้านแต่ละหลัง คงมีคนอาศัยอยู่แค่ร้อยกว่าคนเท่านั้น
ข้างหมู่บ้าน มีที่ดินเพาะปลูกขนาดใหญ่ไม่กี่หมู่ ในนั้นมีธัญพืชสีเขียวปลูกอยู่เต็มไปหมด มีชาวเกษตรหลายคนกำลังเร่งมือทำงานอะไรบางอย่างอยู่
……………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา