ตอนที่ 313 – ตอนที่ต้องอ่านของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา
ตอนนี้ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 313 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ ย่อมไม่เหมือนกับตอนที่เข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณใหม่ๆ ยังไม่รู้ความแตกต่างระหว่างปีศาจอสูรกับมารอสูร
หลิ่วหมิงคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว เรื่องราวเกี่ยวกับมารอสูรที่อ่านเจอในคัมภีร์ค่อยๆ ผุดขึ้นมา
มารอสูรเกิดจากการได้รับไอปีศาจ เรียกรวมๆ ว่าปีศาจอสูรกลายพันธุ์
ว่ากันว่าพออสูรกลายเป็นมารแล้ว ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนเป็นมารเท่านั้น นิสัยก็บ้าระห่ำเป็นอย่างมาก พลังก็แข็งแกร่งกว่าปีศาจอสูรระดับเดียวกันกว่าครึ่งหนึ่ง ทั้งยังมีความสามารถของปีศาจที่คาดไม่ถึง ช่างน่าหวาดกลัวเป็นยิ่งนัก
ทั่วทั้งแผ่นดินอวิ๋นชวน ก็มีไม่กี่ที่ที่ยังมีไอปีศาจอยู่ และสถานที่เหล่านี้ต่างก็ถูกนิกายสายปีศาจต่างๆ ยึดครองไว้แล้ว หลายพันปีมานี้ จึงพบเจอมารอสูรในแผ่นดินอวิ๋นชวนน้อยมาก จนดูเหมือนจะกลายเป็นตำนานไปแล้ว
บัดนี้พลันมีมารอสูรระดับของเหลวขั้นปลายปรากฏตัวในเจดีย์กักปีศาจ จะไม่ทำให้หลิ่วหมิงตกใจได้อย่างไร
“ที่แท้ก็เป็นมารอสูร มิน่าสหายหานถึงไม่มีความมั่นใจเต็มสิบ ไม่ใช่ว่าเจดีย์กักปีศาจนี้ ใช้ปิดผนึกปีศาจอสูรหรอกหรือ ทำไมถึงมีมารอสรพิษปรากฏออกมาได้ล่ะ” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็สงบจิตใจได้ แต่ก็ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าเองก็ไม่ชัดเจนมากนัก ดูเหมือนว่ามารอสรพิษนี้ อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวที่ชั้นหก ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยมีใครเห็นมันมาก่อน คงจะออกมาจากแดนลึกลับ” ชายหนุ่มตอบ
“พูดเช่นนี้ก็แสดงว่า ทางเชื่อมระหว่างเจดีย์กักปีศาจกับแดนลึกลับ อาจมีไอปีศาจอยู่” สีหน้าหลิ่วหมิงเริ่มเปลี่ยนไป
“เรื่องนี้มันก็พูดยาก แต่นิกายเราเคยส่งคนเข้าค้นหาในแดนลึกลับหลายรอบแล้ว กลับไม่เคยค้นพบว่ามีไอปีศาจอยู่ในนั้นเลย” ชายหนุ่มคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“ก็แค่ไม่เคยค้นพบ ไม่ได้หมายความจะไม่มีไอปีศาจอยู่ในแดนลึกลับจริงๆ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า แต่ในเมื่อตอนนี้มันเป็นมารอสรพิษล่ะก็ ย่อมรับมือได้ไม่ง่ายนัก แต่ในเมื่อสหายสวี่กล้าให้สหายเข้ามาที่นี่ได้ คิดว่าคงได้เตรียมวิธีการพิเศษเอาไว้แล้วสินะ!” หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
“อืม! ข้ามียันต์สองผืน ธงค่ายกลหนึ่งชุด และอาวุธจิตวิญญาณพิเศษชิ้นหนึ่ง ซึ่งท่านประมุขมอบให้ก่อนออกเดินทาง มันคงสยบมารอสูรได้” หานหลีกล่าวอย่างไม่ลังเล
“หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ ถ้าข้ากับเจ้าร่วมมือกันก็ใช่ว่าจะต่อสู้กับมารอสรพิษไม่ได้ แต่พอถึงเวลาต้องใช้กลยุทธ์ที่แน่นอน ไม่อาจใช้ไม้แข็งตอบโต้กับอสรพิษระดับนี้ มิเช่นนั้น ต่อให้พวกเราจะเอาชนะได้ ก็ต้องตกในสภาพที่อนาถาเป็นอย่างยิ่ง” หลิ่วหมิงเอามือลูบคาง และกล่าวราวกับคิดอะไรอยู่
“อ้อ! หรือว่าพี่หลิ่วมีวิธีการดีๆ อะไรหรือ?” ชายหนุ่มกระพริบตาถาม
“สหายหาน ท่านบอกเรื่องราวเกี่ยวกับมารอสรพิษตนนี้ให้ข้าฟังทั้งหมดอีกรอบ รวมถึงสภาพแวดล้อมที่อสูรตนนี้อาศัยอยู่ และสภาพของชั้นหกด้วย” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่มีปัญหา ชั้นหกเป็น……” ชายหนุ่มตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ และค่อยๆ เล่าเรื่องราวทั้งหมด
หลิ่วหมิงฟังอย่างตั้งใจ และพยักหน้าเป็นครั้งคราว
…….
‘ตันกาน’ ลอยอยู่กลางอากาศระหว่างภูเขาหินสองลูก แผ่นค่ายกลที่อยู่ด้านข้างก็หมุนวนอยู่ไม่หยุด และเปล่งแสงหลากสีออกมา
บนพื้นมีศพกวางยักษ์เจ็ดแปดตัวที่ถูกฟันออกเป็นหลายสิบชิ้น
‘ตันกาน’ จ้องมองแผ่นค่ายกลที่อยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าตกใจระคนดีใจ
“ในที่สุดก็มีการตอบสนองแล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าของสิ่งนั้นจะต้องถูกปิดผนึกอยู่ที่นี่ ดีมาก! เพียงแค่หาสถานที่ปิดผนึกได้ และสูญเสียอายุขัยของกายเนื้อนี้ไปครึ่งหนึ่ง ก็พอที่จะเปิดทางเข้าได้”
ชายหนุ่มกล่าวพึมพำสองสามประโยค พอสะบัดแขนเสื้อ ลูกแสงจำนวนมากก็พุ่งออกมาทันที และพุ่งยิงออกไปรอบด้านก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
บนพื้นที่กว้างหมู่กว่าๆ สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แผ่นหินร้อยกว่าแผ่นพุ่งขึ้นจากพื้น แผ่นที่มีขนาดใหญ่สุดสูงสิบจั้ง ขนาดเล็กสุดสูงประมาณสามสี่จั้ง แต่ละแผ่นมีอักขระสีดำสลักอยู่ และส่วนบนสุดต่างก็มีผลึกหินสีดำเลี่ยมฝังอยู่หนึ่งก้อน มันก่อตัวเป็นค่ายกลขนาดใหญ่
‘ตันกาน’ ก้มมองค่ายกลด้านล่าง และแสดงสีหน้าปวดใจออกมา
แม้ว่าแผ่นหินด้านล่างจะใช้ได้แค่ครั้งเดียว แต่วัสดุที่ใช้พบเจอได้น้อยมาก ต่อให้ก่อนหน้านั้น เขามีสถานะเป็นอันดับหนึ่งในอวิ๋นชวน ก็ต้องใช้เวลาร้อยกว่าปีถึงรวบรวมมาได้
หากครั้งนี้แสดงวิชาไม่สำเร็จล่ะก็ เกรงว่าคงไม่สามารถลองครั้งที่สองได้แล้ว
เขาคิดเช่นนี้อยู่ในใจ พอกัดฟันก็หยิบเขาโค้งสีขาวออกมาจากอก พื้นผิวมันโปร่งใสราวกับอำพัน มีแสงสีแดงที่ดูคล้ายหินละลายเปล่งประกายอยู่ในนั้นไม่หยุด
‘ตันกาน’ วางเขาโค้งไว้ตรงหน้า หลังจากเอามือถูกัน มันก็ถูกบดเป็นผงแวววาว และสาดลงในค่ายกลที่อยู่ด้านล่าง
พริบตาที่ผงแวววาวเหล่านี้ตกลงในค่ายกลที่อยู่ด้านล่าง มันก็จมหายไปในแผ่นหินอย่างไร้ร่องรอย
ภายใต้ลำแสงที่เปล่งประกาย แผ่นหินสีขาวเทาก็กลายสภาพเป็นกึ่งโปร่งใส
‘ตันกาน’ เห็นเช่นนี้ ก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมา พลังเวทย์ที่เตรียมไว้แต่แรกพุ่งยิงลงไปด้านล่าง
“นี่คืออะไรกัน? ตามที่ศิษย์พี่ท่านประมุขกล่าวไว้ ที่นี่ควรจะเหมือนกับชั้นห้า อารามที่วางค่ายกลก็ไม่ใช่พื้นที่เขตทะเลทราย ควรจะเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ถึงจะถูก” พอชายหนุ่มเห็นสภาพแวดล้อมรอบด้าน ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
“ในเมื่อประมุขสวี่เป็นคนบอกด้วยตนเอง คิดว่าคงไม่ผิดเพี้ยนอย่างแน่นอน ดูท่าทะเลทรายด้านนอกคงจะเกิดขึ้นไม่นาน มิใช่นั้นก็ไม่อาจอธิบายได้แล้ว” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็วินิจฉัยออกมา
“ไม่นาน? แต่ศิษย์พี่จินเข้ามาชั้นหกเมื่อไม่กี่ปีเท่านั้น!” ชายหนุ่มยังคงพูดพึมพำ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มารอสรพิษตนนี้คงจะยุ่งยากกว่าที่พวกเราคาดคิดไว้มาก ดูเหมือนว่ามันจะย้ายรังมาอยู่บริเวณนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ วิธีที่พวกเราคิดไว้แต่แรก คงไม่อาจนำมาใช้ได้” หลิ่วหมิงละสายตากลับมา และกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม
“ความหมายของศิษย์พี่หลิ่วคือ……” แม้หานหลีมีคุณสมบัติเหนือกว่าผู้อื่น แต่ประสบการณ์ค่อนข้างน้อย พอได้ยินเช่นนี้ก็ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ลองดูก่อนว่ามารอสรพิษตนนั้นอยู่ด้านนอกหรือเปล่า” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย ขณะเดียวกันก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว และเอานิ้วแตะหน้าผาก
พลังจิตมหาศาลพุ่งออกจากระหว่างคิ้วอย่างบ้าคลั่ง และกวาดไปรอบด้าน
หานหลีเห็นเช่นนี้ ก็แสดงวิชาตรวจสอบดูพื้นที่บริเวณนั้นเช่นกัน
ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองก็หยุดแสดงวิชา
“ไม่ได้อยู่ในบริเวณนี้! ดูท่ามารอสรพิษตนนี้คงไม่โง่ มันรู้ว่าหากอยู่ใกล้ม่านแสงป้องกันจะส่งผลไม่ดีกับมัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราออกไปกันเถอะ! มารอสูรตนนี้คงจะอยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้” หลิ่วหมิงวางแขนลง และกล่าวออกมา
“สิบกว่าลี้! พี่หลิ่วมั่นใจเช่นนี้หรือ?” ชายหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าแปลกใจ
“เฮ่อๆ! ในเมื่อมารอสรพิษตนนี้มีสติปัญญาเช่นนี้ และไม่ได้ซุ่มอยู่นอกค่ายกล มันจะต้องไม่อยู่บริเวณใกล้ๆ อย่างแน่นอน แต่จะหามารอสูรตนนี้ได้อย่างไรนั้น คงต้องให้เจ้าช่วยแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ไม่มีปัญหา! ยันต์ที่ข้านำมาในครั้งนี้ สามารถหาตำแหน่งของไอปีศาจได้อย่างคร่าวๆ” หานหลีกล่าวอย่างไม่ลังเล
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย หามารอสรพิษตนนั้นให้ได้ก่อน และวางค่ายกลไว้บริเวณนี้ จากนั้นค่อยพิจารณาเรื่องอื่นกัน” หลิ่วหมิงถอนหายใจและกล่าวออกมา จากนั้นก็เดินออกจากม่านแสง
ชายหนุ่มคิดไปมาคิดมาอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด หลังจากเดินออกจากม่านแสงแล้ว ก็หยิบยันต์สีเหลืองจางๆ ออกมา พอมันสั่นไหวตามลมก็ทำการลุกไหม้ขึ้นมา
………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา