“ฟู่!”
อสรพิษสีเขียวเหาะไปยังทิศทางหนึ่งโดยฉับพลัน
“ตามไป! มันสามารถนำพวกเราไปยังที่เร้นกายของมารอสูรได้” หานหลีเห็นเช่นนี้ ก็คำรามเสียงต่ำออกมา จากนั้นก็ขยับร่างตามไป
หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว และกระทืบเท้าลงพื้นก่อนที่จะพุ่งยิงออกไปราวกับลูกธนู
พริบตาเดียว ทั้งสองก็ตามเงาร่างที่เหาะอยู่บนอากาศไปไกลๆ
ครึ่งชั่วยามต่อมา อสรพิษสีเขียวก็เหาะผ่านเนินทรายสูงใหญ่แห่งหนึ่ง และสลายตัวในอากาศทันที
หานหลีเห็นเช่นนี้ ก็ชะงักฝีเท้าในทันที และขยับปากส่งเสียงออกไป
“พี่หลิ่วระวังหน่อย มารอสรพิษตนนั้นคงจะอยู่ด้านหน้าไม่ไกลแล้ว”
หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้าอย่างระมัดระวัง พอเดินไปถึงบริเวณที่ชายหนุ่มยืนอยู่ก็หยุดฝีเท้าลงทันที
ขณะนี้หานหลีพลันอ้าปากพ่นกระจกเงินสีขาวโพลนออกมาใบหนึ่ง
ชายหนุ่มประคองกระจกไว้ และร่ายคาถาออกมา จากนั้นก็แกว่งไปทางเนินทราย
“ฟู่!” แสงสีขาวม้วนตัวออกจากกระจก ภายใต้การกระตุ้นเคล็ดวิชา มันก่อตัวเป็นม่านแสงแจ่มชัดขนาดเท่าประตูไม้บานหนึ่ง ปรากฏอยู่ตรงหน้าทั้งสองไม่ไกล
ภายในม่านแสงปรากฏภาพที่เด่นชัดของเนินทราย
ขณะนี้ชายหนุ่มค่อยๆ เคลื่อนไหวมือข้างที่ประคองกระจก ภาพในม่านแสงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และเริ่มทำการตรวจสอบพื้นที่บริเวณนั้น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
ไม่ว่าของล้ำค่าชิ้นนี้จะมีคุณสมบัติอย่างไรก็ตาม แต่ดูแล้วมหัศจรรย์ยิ่งนัก หากมีของสิ่งนี้อยู่ในมือล่ะก็ ไม่เท่ากับว่าสามารถค้นพบคู่ต่อสู้ที่อยู่ห่างร้อยกว่าลี้ได้อย่างง่ายดายหรอกหรือ
“กระจกค้นฟ้านี้ ใช้ได้แค่ในสถานที่พิเศษบางแห่ง และค้นหาได้แค่ในระยะห้าหกลี้เท่านั้น และยังมีข้อจำกัดอื่นๆ อีก ภายใต้สถานการณ์ปกติไม่อาจนำมาใช้ได้” ดูเหมือนชายหนุ่มจะมองออกว่าหลิ่วหมิงคิดอะไรอยู่ จึงส่งเสียงมาบอกหลิ่วหมิง
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้เข้าใจขึ้นมาบ้าง
ขณะนั้นเอง กระจกเงินที่หมุนวนอยู่ก็หยุดชะงักลง บนม่านแสงปรากฏภาพอสรพิษยักษ์ที่หดตัวจนดูคล้ายเขาลูกเล็กๆ
ดูๆ แล้วอสรพิษตนนี้ยาวสามสิบกว่าจั้ง ลำตัวใหญ่ราวกับอ่างน้ำ พื้นผิวปกคลุมไปด้วยเกล็ดแวววาวสีม่วงดำ แต่หัวของมันหดอยู่ในลำตัว ราวกับว่ากำลังหลับอยู่
“ดูท่าคงเป็นมารอสรพิษตนนั้น ตอนนี้มันอยู่ห่างจากพวกเราเท่าไหร่?” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เขม้นตามอง และส่งเสียงออกไป
“คงจะอยู่ในทิศทางบางแห่งที่อยู่ห่างออกไปสามลี้ ถ้าใกล้ขนาดนี้ล่ะก็ เกรงว่าพวกเราคงถูกมันค้นพบเข้าแล้ว!” ชายหนุ่มมองกระจกเงินในมือแล้วกล่าวยืนยัน
“ดีมาก! ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็วางค่ายกลไว้บริเวณนี้ จากนั้นค่อยหลอกล่อให้อสรพิษออกมา” หลิ่วหมิงกล่าวราวกับคิดอะไรอยู่
“ได้! ค่ายกลอัคคีสวรรค์แปดทิศนี้ เป็นค่ายกลธาตุไฟ คงจะสามารถควบคุมมารอสรพิษได้บ้าง” ชายหนุ่มพยักหน้า จากนั้นก็โยนกระจกเงินไปกลางอากาศ และหยิบธงค่ายกลสีแดงขนาดยาวสองสามชุ่นออกมาจากอกปึกหนึ่ง จากนั้นก็เคลื่อนไหวอยู่บริเวณนั้นเพื่อวางค่ายกล
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ค่ายกลขนาดใหญ่ที่มีอักขระสีแดงปกคลุมอยู่เป็นจำนวนมาก ก็ปรากฏวับๆ แวมๆ อยู่บนพื้น
ชายหนุ่มหยิบตาข่ายสีเงินออกจากแขนเสื้อ และโยนไปเหนือค่ายกล มันกลายเป็นหมอกเมฆบางๆ ซ่อนตัวอยู่กลางอากาศ
ขณะนี้ หานหลีหยิบแผ่นป้าย และอ้าปากพ่นโลหิตลงบนนั้น หลังจากทำท่ามือชี้ไปสองสามที แสงห้าสีก็พุ่งออกมาจากบนนั้น หลังจากที่มันม้วนตัวผ่านค่ายกลสีแดงที่อยู่ด้านล่างแล้ว ค่ายกลทั้งหลังก็หายไปในพริบตา
“นิกายหยวนหมัวสมกับเป็นอันดับหนึ่งในอวิ๋นชวนจริงๆ ความมหัศจรรย์ของสิ่งล้ำค่าต่างๆ ไม่ใช่สิ่งที่แคว้นต้าเสวียนของพวกข้าสามารถเทียบได้” ในที่สุดหลิ่วหมิงที่มองดูอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด ก็ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกมา
“พี่หลิ่วใยต้องกล่าวเช่นนี้ด้วยเล่า แม้ของล้ำค่าเหล่านี้จะมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่หากรวมกันแล้ว ยังเทียบกับกระบี่จิตวิญญาณเล่มนั้นของสหายไม่ได้เลย” หานหลีกล่าวอย่างราบเรียบ
“อืม! ดูเหมือนสหายหานจะรู้สึกสนใจอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ของข้ามาก!” หลิ่วหมิงยิ้มแล้วกล่าวออกมา
“อาวุธที่สามารถสังหารปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าผู้ฝึกฝนคนใดก็ต้องสนใจเป็นธรรมดา” ชายกลุ่มกล่าวอย่างไม่ปิดบัง
“เสียดายที่กระบี่นี้สำคัญกับข้ามาก ไม่สามารถยกให้ได้” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“เฮ่อๆ! นั่นเป็นเพราะว่าไม่มีสิ่งของที่มีมูลค่ามากพอมาแลก! แม้ข้าจะรู้สึกสนใจกระบี่จิตวิญญาณเล่มนี้อยู่บ้าง แต่ไม่ได้คิดที่จะครอบครองมัน เพราะวิชาหลักที่ข้าฝึกฝนคือสายพลังเวทย์ วิชากระบี่บินนั้นไม่สันทัดเลยแม้แต่น้อย เอาล่ะ! ตอนนี้ค่ายกลก็ได้วางเสร็จแล้ว ต่อไปจะหลอกล่อมารอสรพิษมาได้อย่างไร?” หานหลีหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“วิธีล่อมารอสูรให้เข้ามานั้น จำเป็นต้องใช้เหยื่อล่อ สหายหานต้องอยู่ที่นี่เพื่อควบคุมค่ายกล ส่วนเหยื่อล่อนั้นมอบให้ข้าจัดการเถอะ แม้ข้าจะไม่สามารถต่อสู้แบบซึ่งๆ หน้าได้ แต่หากคิดจะหลบหนีล่ะก็ ในระยะสองสามลี้ยังพอยืนหยัดไว้ได้” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พี่หลิ่วต้องระวังตัวให้มาก” หานหลีได้ยินเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ในที่สุดก็เพียงแค่พยักหน้าตอบรับ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็พุ่งไปยังเนินทรายโดยไม่เปล่งอะไรออกมา
ชายหนุ่มยืนมองหลิ่วหมิงอยู่ที่เดิม จนเมื่อหลังของหลิ่วหมิงหายลับไปจากเนินทราย ก็หยิบยันต์มาแปะบนตัวผืนหนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา