“ตู๊ม!” บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น!
พลังมหาศาลทะลักออกจากม่านทรายสีทองที่หลิ่วหมิงทุบใส่อย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็กลายเป็นคลื่นสีดำแผ่ขยายไปทั่วทิศ
ม่านทรายทองคำเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด และมืดลงอย่างรวดเร็ว
พริบตานั้นเอง เหยียนเจวี๋ยที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็กระอักเลือดออกมา สีหน้าซีดขาวอย่างมาก
แต่เขากลับเป็นคนเฉียบขาดมาก พอสูดหายใจเข้าไปลึกๆ แล้ว ก็ตบมือทั้งสองลงบนตัวอย่างรวดเร็วจนหน้าแดงขึ้นมา มือทั้งสองทำท่ามืออยู่ไม่หยุด เพื่อส่งพลังเวทย์ทั้งหมดเข้าไปในทรายทองคำร่วง
แต่พอเม็ดทรายที่ปกคลุมเต็มท้องฟ้าเปล่งแสงสีทองออกมา และพลุ่งพล่านอย่างบ้าคลั่ง มันก็รวมตัวเป็นกำปั้นยักษ์ที่มีขนาดหลายจั้ง ภายใต้แสงสีทองที่เปล่งประกาย มันทุบใส่หลิ่วหมิงพร้อมกับพายุบ้าระห่ำ
หลิ่วหมิงเพิ่งแสดงวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นแรกออกมา พอเห็นว่าการโจมตีได้ผลก็เกิดอาการดีใจจนปิดไม่มิด แต่พอเห็นกำปั้นสีทองอันทรงพลังก่อตัวออกมา รูม่านตาทั้งคู่ก็ค่อยๆ หดตัวลง
หลิ่วหมิงขยับแขนอย่างไม่ลังเล พอเงามังกรดำแหงนหน้าขึ้นมา กำปั้นอีกลูกก็พุ่งออกไป
“ตู๊มตู๊มตู๊ม!” เสียงอันน่าตกใจดังออกมาติดต่อกัน กำปั้นหลิ่วหมิงปะทะกับกำปั้นยักษ์ที่กลายร่างมาจากทรายทองคำร่วงสามที!
“เปรี๊ยะๆ!” เสียงระเบิดดังออกมาราวกับเสียงน้ำแข็งพังทลาย!
พอกำปั้นลูกสุดท้ายทุบลงไป กำปั้นยักษ์สีทองกลางอากาศก็แตกตัวเป็นเม็ดทราย และสาดกระจายไปทั่วฟ้าก่อนที่จะร่วงหล่นลงพื้น
ขณะนี้ เหยียนเจวี๋ยกระอักเลือดออกมาติดต่อกัน ใบหน้าขาวซีดจนเกือบโปร่งใส กลิ่นไออ่อนลงจนถึงขีดสุด ประจักษ์ชัดว่าได้รับบาดเจ็บไม่น้อย!
หลิ่วหมิงยังคงมีสีหน้าปกติ เขาไม่ได้ใส่ใจเหยียนเจวี๋ยมากนัก สายตาของเขาตกอยู่ที่หุ่นนักรบสองตัวที่กำลังต่อสู้กันหัวบิน และแมงป่องกระดูกอยู่
พอสะบัดแขนเสื้อ กระบี่จันทราทองคำก็ปรากฏขึ้นในมืออีกครั้ง ลำแสงสีทองพุ่งยิงออกจากกระบี่ เห็นได้ชัดว่าอานุภาพของมันแตกต่างจากก่อนหน้านั้นมาก ลำแสงนี้ปกคลุมหุ่นนักรบทั้งสองไว้
“เต๊งๆ!” เสียงดังก้องอยู่ในหู!
ไม่กี่อึดใจต่อมา พอลำแสงสีทองที่ปกคลุมนักรบทั้งสองกระจายออกไป จะเห็นว่าแสงบนตัวหุ่นนักรบทั้งสองมืดลงไปมาก และบนตัวของพวกมันยังมีรูเล็กๆ ขนาดเท่าเม็ดถั่วปรากฏอยู่เต็มไปหมด
หลังจากเหยียนเจวี๋ยได้รับบาดเจ็บ ก็สูญเสียพลังจิตไปมาก แม้แต่อานุภาพของหุ่นนักรบทั้งสองก็อ่อนลงไปไม่น้อย พลังการป้องกันก็แตกต่างจากตอนแรกโดยสิ้นเชิง
และในจังหวะนี้ ผมของหัวบินที่ก่อกวนหุ่นนักรบอยู่ก็พุ่งออกไปทันที มันกลายเป็นเชือกสิบกว่าเส้นพันหุ่นนักรบไว้อย่างแน่นหนา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก เขาโยนกระบี่จันทราทองคำออกไปกลางอากาศอย่างไม่ลังเล มือทั้งสองทำท่ามืออย่างรวดเร็ว
“ฟู่!”
แสงแวววาวเปล่งประกายบนกระบี่จันทราทองคำ จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งอันน่าตกใจก่อนม้วนตัวออกไป มันเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็เจาะทะลุระหว่างคิ้วของหุ่นนักรบ
“เพล้ง!”
พอกระบี่จันทราทองคำเจาะทะลุไปแล้ว รูขนาดเท่านิ้วมือก็ปรากฏขึ้นมา ในนั้นมีผลึกหินสีทองที่แตกกระจายอยู่ก้อนหนึ่ง
แสงสีทองบนร่างของหุ่นนักรบมืดลงทันที แสงแวววาวในดวงตาค่อยๆ หายไป ในที่สุดร่างของมันก็สั่นสะเทือนก่อนจะล้มลงพื้นไป
ต่อมา หลิ่วหมิงเปลี่ยนท่ามืออีกครั้ง จากนั้นก็ชี้ไปยังหุ่นนักรบที่แมงป่องกระดูกกำลังก่อกวนอยู่
กระบี่จันทราทองคำกลางอากาศสั่นสะเทือนขึ้นมา และกลายเป็นแสงแวววาวพุ่งยิงใส่หุ่นนักรบตัวนี้
ดวงตาของหุ่นนักรบเปล่งประกายออกมา แขนข้างหนึ่งพร่ามัวขึ้นมาทันที จากนั้นก็กลายเป็นโล่ทองคำหนาๆ บังอยู่ด้านหน้า
“ฟู่!” แสงแวววาวจมหายไปในโล่ทองคำ และทะลุออกตรงท้ายทอยของหุ่นนักรบ จากนั้นมันก็ล้มลงพื้นเหมือนกับหุ่นนักรบตัวก่อนหน้า
ไม่คิดว่าหุ่นนักรบที่มีพลังแข็งแกร่ง จะถูกหลิ่วหมิงแสดงวิชาขี่กระบี่โจมตีอย่างง่ายดาย
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเหยียนเจวี๋ยที่ควบคุมมันอยู่ได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะพลังจิตอันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิง ค้นพบที่ใส่ผลึกหินของหุ่นนักรบสองตัวนี้ จึงทำการโจมตีได้สำเร็จ
เหตุการณ์เหล่านี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าชั่วอึดใจเดียวก็ผ่านพ้นไปแล้ว
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หลิ่วหมิงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย จากนั้นถึงปราดตามองมาทางเหยียนเจวี๋ย และค่อยๆ ลอยเข้าไปหาเขา
พอเหยียนเจวี๋ยเห็นว่าหุ่นนักรบสองตัวที่ตนเองทุ่มเทสร้างขึ้นมา สูญเสียพลังการโจมตีไปอย่างง่ายดาย ก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา เขาระงับอาการเจ็บปวดแล้วถอยออกไปทันที เพื่อที่จะหลบหนี
“แกว๊กๆ!” “ซี่ๆ!” เสียงร้องแปลกประหลาดดังออกมา
ไม่รู้ว่าแมงป่องกระดูกกับหัวบินโผล่มาด้านหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกมันทั้งสองต่างก็จ้องมองผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธผู้นี้ด้วยแววตาดุร้าย
เหยียนเจวี๋ยหยุดชะงักทันที เขาดูหน้าเสียเป็นอย่างมาก หลังจากค่อยๆ หมุนตัวกลับมาแล้วก็กัดฟันกล่าว
“สหายมีพลังน่าตกใจยิ่งนัก ข้านับถืออย่างถึงที่สุด แต่ข้าเป็นผู้อาวุโสของวังเพลิงดำ หากเจ้ากล้าสังหารข้า ก็เท่ากับตั้งใจยั่วยุวังเพลิงดำ ภายหน้าจะมีจุดจบเช่นใดนั้น สหายคงรู้ดี!”
หลิ่วหมิงได้ยินก็หัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นค่อยๆ สะบัดกระบี่จันทราทองคำในมือ ทันนั้น มันกลายเป็นเงากระบี่จำนวนมาก จนทำให้อากาศบริเวณนั้นมีเสียงแหลมดังออกมา
เหยียนเจวี๋ยเห็นเช่นนี้ ก็รีบกล่าวอย่างรวดเร็ว
“ช่างเถอะ! เพียงแค่สหายยอมปล่อยข้าไป สหายอยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย ข้ายังพอนับว่าเป็นคนที่มีสมบัติอยู่บ้าง”
“เรื่องนี้ไม่จำเป็น!” หลิ่วหมิงเหยียดปากทำสีหน้าประชดออกมา พอเขาขยับแขน เงากระบี่ตรงหน้าก็กลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งยิงออกไป
เหยียนเจวี๋ยรู้สึกตกใจมาก เขาอ้าปากพ่นมุกสีฟ้าออกมา หลังจากหมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นรังไหมสีฟ้าปกคลุมร่างของเขาไว้ ขณะเดียวกัน ยันต์สีเหลืองแดงก็ถูกขยี้อยู่ในแขนเสื้อจนแตกกระจาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา