ขณะนี้เขาถึงหันไปกล่าวกับเย่เทียนเหมย
“ไม่เจอกันนานหลายปี วิชาขี่กระบี่ของท่านเซียนเย่ก้าวหน้าไม่น้อย ด้วยอานุภาพอันร้ายกาจของการฝึกฝนสายกระบี่ หากท่านไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส หมาซู่ผู้นี้ไม่ต้องพูดถึง ต่อให้เป็นข้าที่ปะทะกับท่าน ก็คงต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย”
“ผู้อาวุโสหลิวชมเกินไปแล้ว ข้าเพิ่งเข้าสู่ระดับผลึกขั้นต้นมาสิบกว่าปี ไหนเลยจะสู้ระดับผลึกขั้นกลางอย่างผู้อาวุโสหลิวได้ แม้ว่าสายกระบี่จะแข็งแกร่ง แต่การบรรลุขั้นยากกว่าผู้ฝึกฝนทั่วไปมาก หากข้าอยากบรรลุไปอีกขั้น ยังไม่รู้เลยว่าต้องใช้เวลานานเท่าใด” เย่เทียนเหมยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านเซียนเย่เป็นคนตรงไปตรงมา หลายปีมานี้ ข้าได้ยินคนบนเกาะเล่ากันว่า ท่านเป็นผู้ดำเนินการอาวุโสของพันธมิตรอวิ๋นชวน ต้องขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย” ผู้อาวุโสคิ้วดำเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในฉับพลันแล้วกล่าวแสดงความยินดีกับเย่เทียนเหมย
“สหายพูดตลกแล้ว นั่นเป็นเพียงแค่รูปแบบที่ถูกบังคับเท่านั้น” เย่เทียนเหมยกล่าวอย่างราบเรียบ
“เฮ่อๆ! ท่านเซียนเย่ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ตอนนี้ท่านได้รับบาดเจ็บ หากไม่รังเกียจล่ะก็ ไปพักที่ถ้ำข้าสักหน่อยไหม ถ้ำของข้าอยู่ทางด้านนั้น ห่างจากที่นี่ไม่ถึงร้อยกว่าลี้” ผู้อาวุโสหลิวหัวเราะฮ่าๆ แล้วดูเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงชี้มือไปยังทิศทางบางแห่งแล้วกล่าวออกมา
“ขอบคุณน้ำใจของสหาย ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ไม่สามารถหยุดอยู่ที่นี่นานได้ ข้าว่า……” เย่เทียนเหมยมองไปทางที่ผู้อาวุโสหลิวชี้ แล้วปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
แต่นางกล่าวยังไม่ทันจบ ก็รู้สึกว่ามีไอเย็นม้วนตัวมาจากตำแหน่งที่ผู้อาวุโสยืนอยู่
เย่เทียนเหมยรู้สึกตกใจมาก แต่ก็ไหวตัวอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแปลกประหลาดนั้น ร่างของนางก็ร่นถอยไปทันที
แต่ภายใต้สถานการณ์ที่คาดไม่ถึง ทำให้ไหวตัวช้าไปเล็กน้อย
อากาศตรงหน้านางสั่นสะเทือน แท่งสามเหลี่ยมสีฟ้าพุ่งเข้ามา มันแฉลบผ่านไหล่ขวาของนางไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว แขนของนางก็เย็นสะท้านจนเกิดอาการชาไปทั้งแขน และค่อยๆ ลุกลามไปตามส่วนอื่นๆ ของร่างกาย!
เย่เทียนเหมยขยับตัวออกห่างผู้อาวุโสหลิวสิบกว่าจั้ง นางใช้นิ้วกดลงบนส่วนต่างๆ ของแขน เพื่อปิดทางเดินชีพจรไว้ และหยิบยันต์สีเขียวมาแปะไว้บนตัว
กลุ่มแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา รูเลือดบนไหล่ของนางสมานกันอย่างรวดเร็ว
ขณะนี้ เย่เทียนเหมยจ้องหน้าผู้อาวุโสหลิวแล้วกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“พูดมาเถอะ! เหตุใดถึงทำเช่นนี้ อย่าบอกนะว่าที่โจมตีข้าในฉับพลัน เป็นเพราะว่าเพิ่งคิดแผนขึ้นมาได้”
“สมกับเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่หญิงอันดับหนึ่งในอวิ๋นชวน มาถึงเวลานี้แล้วยังสงบได้ถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจบอกสาเหตุที่ทำเช่นนี้ได้ แต่ท่านเซียนวางใจเถอะ ข้าไม่ทำอันตรายท่านจนถึงแก่ชีวิต แม้กระทั่งอาจกล่าวได้ว่านี่เป็นโอกาสสำหรับท่าน” ผู้อาวุโสคิ้วดำเห็นเช่นนี้กลับเอ่ยปากชมเชย เขาแสดงสีหน้าเมตตาและนุ่มนวลออกมา คนที่ไม่รู้มาก่อน ย่อมคิดว่าเขาเป็นคนดีมาก
“สหายหลิวลอบโจมตีเช่นนี้ ยังบอกว่าเป็นโอกาสของข้า พูดเช่นนี้ข้าควรจะซึ้งใจดีหรือไม่?” เย่เทียนเหมยเลิกคิ้วถาม
“จะว่าไปแล้ว ข้ากับนิกายของท่านมีความสัมพันธ์ค่อนข้างลึกซึ้ง ข้ากับท่านเซียนก็สนิทสนมกันอยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้ท่านไม่ต้องตื่นตระหนกไป แค่ทำตามที่ข้าบอก ข้าจะรับรองความปลอดภัยให้ท่าน” ผู้อาวุโสหลิวกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“ฮึ! ใช่หรือ? สหายหลิวพูดเหมือนง่าย แต่ท่านคิดว่าการโจมตีเมื่อครู่ ก็สามารถจับกุมข้าได้หรือ?” เย่เทียนเหมยกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ตอนนี้ท่านเซียนได้รับบาดเจ็บสาหัส ทางที่ดีไม่ควรขยับตัวจะดีกว่า” ผู้อาวุโสได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป สีหน้าดูเคร่งขรึมขึ้นมามาก
เย่เทียนเหมยไม่พูดอะไรให้มากความ นางขยี้ยันต์สีเงินจางๆ ในมือจนแตกละเอียด ภายใต้แสงสีเงินที่เปล่งประกาย ลายเส้นจำนวนมากกระเพื่อมออกมา ระดับการฝึกฝนของนางฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง!
ผู้อาวุโสคิ้วดำเห็นเช่นนี้ ก็ตกใจจนหน้าถอดสี ครู่ต่อมาเย่เทียนเหมยยกแขนขวาขึ้น ภายใต้การทำท่ามือ แสงกระบี่สีเงินส่องแสงพร่างพรายกลายเป็นสายรุ้งสีเงินหมุนวนอยู่เหนือศีรษะ และยังส่งเสียงระเบิดดังออกมา
“กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง! เห็นๆ อยู่ว่าท่านบาดเจ็บสาหัส พลังเวทย์ก็หมดสิ้นไปแล้ว เหตุใดยังสามารถแสดงความสามารถเช่นนี้ออกมาได้?” ผู้อาวุโสหลิวแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา และพูดพึมพำเบาๆ “ไม่ถูกต้อง! กลิ่นไออันแข็งแกร่งนี้……พลังเวทย์ของท่านฟื้นฟูในระยะเวลาเพียงสั้นๆ เป็นไปได้อย่างไร……”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา