ตอน ตอนที่ 364 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 364 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
สำหรับราชาปีศาจสมุทรแล้ว ผู้ฝึกฝนกระบี่ระดับผลึกที่มีพลังเวทย์บริสุทธิ์อย่างเย่เทียนเหมย ไม่ใช่เตาหลอมพลังอันสุดยอดของเขาหรอกหรือ!
ด้วยเหตุนี้ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเคล็ดลับการเข้าสู่แก่นแท้ และความยืนยาวของอายุขัย ทำให้ผู้อาวุโสหลิวไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ในแต่ก่อน ถึงได้รวมพลังจัดการหมาซู่ และโจมตีเย่เทียนเหมยในฉับพลัน
แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่เขาทำเช่นนี้ เพียงแค่มีข่าวเล็ดลอดออกไปเล็กน้อย ชีวิตนี้คงไม่อาจกลับไปยังแผ่นดินอวิ๋นชวนได้
พอคิดมาถึงจุดนี้ ผู้อาวุโสคิ้วดำก็ไม่รีบไล่ตามนางไป แต่กลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง
……
ยอดเขาเมฆาอัคคี เป็นยอดเขาที่อยู่ห่างจากหุบเขาเหล็กอัคคีไปทางทิศเหนือร้อยกว่าลี้
ท่ามกลางเทือกเขาที่ทอดยาวติดต่อกัน ยอดเขานี้จึงดูไม่เตะตามากนัก เพียงแต่บนเขาถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้สีแดง มองดูไกลๆ ราวกับเป็นเมฆาอัคคีรูปดอกเห็ด ด้วยเหตุนี้มันจึงได้ชื่อว่า ‘ยอดเขาเมฆาอัคคี’
ขณะนี้ เรือกลเหาะที่หลิ่วหมิงใช้เดินทางกำลังลอยอยู่เหนือยอดเขาร้อยกว่าจั้ง อยู่ๆ เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เพราะรับรู้ได้ว่าป้ายอวิ๋นชวนที่เย่เทียนเหมยมอบให้เขา กำลังสั่นสะเทือนเบาๆ
เขาสะบัดแขนเสื้อในทันที ป้ายสีแดงพุ่งยิงออกมาลอยอยู่ตรงหน้า แสงสีแดงเปล่งประกายอยู่บนพื้นผิว จากนั้นอักขระสีเงินเล็กๆ ลอยออกมา
หลิ่วหมิงมองดูแล้วก็รู้สึกหนาวสะท้าน เขาทำท่ามือด้วยเดียว เรือหมุนอยู่กลางอากาศหนึ่งรอบแล้วพุ่งยิงไปยังทิศทางบางแห่ง ขณะเดียวกัน พลังจิตอันแข็งแกร่งของเขา ก็เริ่มกวาดดูพื้นที่บริเวณนั้นอยู่ไม่หยุด
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป มีแสงสีเงินกระพริบตรงขอบฟ้าไกลๆ จุดแสงสีเงินปรากฏออกมา จากนั้นก็พุ่งมาทางด้านนี้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่รู้สึกใจสั่นสะท้าน แต่ยังทำท่ามือกระตุ้นเรือเหาะออกไปรับ
ชั่วเวลาไม่กี่พริบตา หลิ่วหมิงรู้สึกว่าจุดแสงสีเงินขยายใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย และมองเห็นเงาร่างอรชรในนั้นอยู่รำไร นางกำลังขี่กระบี่มาทางเขา
เมื่อเข้าใกล้มากยิ่งขึ้น แสงสีเงินก็ติดๆ ดับๆ
หลิ่วหมิงเหาะมาได้ระยะหนึ่ง ก็บังคับเรือเหาะให้หยุดลง เพราะแสงสีเงินอยู่ไม่ไกลแล้ว หลังจากที่มันกระพริบและหยุดการเคลื่อนไหว ก็เผยให้เห็นใบหน้าของคนที่อยู่ในนั้น
ซึ่งก็คือเย่เทียนเหมยนั่นเอง!
“อาจารย์อาเย่!” หลิ่วหมิงตะโกนออกไปด้วยความตกใจ และก็ไม่พูดอะไรต่ออีก
พอเห็นเย่เทียนเหมยที่ปกติมีสีหน้าเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง แต่ตอนนี้กลับมีสีหน้าซีดขาวไร้เลือดฝาด ก็ประจักษ์ชัดว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัส
พอนางเห็นหลิ่วหมิงก็แค่พยักหน้าสองสามที จากนั้นเท้าของนางก็ซวนเซ กระบี่ยักษ์กลายเป็นจุดแสงแวววาวก่อนสลายไปในอากาศ ร่างของนางอ่อนยวบยาบและตกลงมา
หลิ่วหมิงกระตุ้นพลังเวทย์ด้วยความตกใจ เรือเหาะสั่นไหวพุ่งลงไปด้านล่าง
ขณะที่อยู่ห่างจากเย่เทียนเหมยไม่ถึงสองสามจั้ง เขาก็สะบัดแขนเสื้อออกไป จากนั้นไอดำพวยพุ่งออกมา และกลายเป็นเชือกสีดำม้วนไปด้านหน้า
“ฟู่!”
เชือกดำรัดเอวเย่เทียนเหมยไว้ในพริบตา จากนั้นก็ดึงนางมาบนเรือเหาะ
ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงถอนหายใจยาวออกมา และควบคุมเชือกให้นำนางวางไว้บนพื้นเรือ
เย่เทียนเหมยพยายามลืมตาอันหนักอึ้งทั้งสอง และกล่าวกับหลิ่วหมิง
“มีคนตามข้ามา……ผู้อาวุโสคิ้วยาว……ระดับผลึกขั้นกลาง…..ที่…….ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน…….ต้องรีบไป……ช่วงชิงเวลาให้ข้าหน่อย”
เย่เมียนเหมยกล่าวยังไม่ทันจบก็หมดสติไป
พอหลิ่วหมิงได้ยินคำว่า ‘ระดับผลึกขั้นกลาง’ ก็รู้สึกหนาวสะท้าน เขารีบทำท่ามือหมุนหัวเรือกลับอย่างรวดเร็ว และพุ่งออกไปด้านหน้าทันที
จากนั้นเขาหยิบขวดโอสถออกมาจำนวนมาก และเทโอสถสีต่างๆ ออกมาป้อนเย่เทียนเหมยที่สลบไป
ผ่านไปซักพัก สีหน้าเย่เทียนเหมยก็ดูมีเลือดฝาดในที่สุด แต่ยังไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมา
หลิ่วหมิงรู้สึกใจหาย ตอนนี้เขารู้ว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินกว่าที่คาดไว้มาก และผู้ที่โจมตีนางจนบาดเจ็บสาหัส คงเป็นผู้ที่กำลังตามมาอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ สถานการณ์จึงดูท่าไม่ดีเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอย่างไม่มีทางเลี่ยง และใช้พลังจิตกวาดดูด้านหลังอยู่ไม่หยุด เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวตรงด้านหลังอยู่ตลอดเวลา
……
ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป
เหนือยอดเขาเมฆาอัคคีร้อยกว่าจั้ง
ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทา คิ้วสีดำ ใบหน้าธรรมดา กำลังลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ ดูเหมือนเขากำลังคิดใคร่ครวญอะไรบางอย่างอยู่
“คิดไม่ถึงว่านางจะมีพรรคพวกคอยช่วยอยู่ที่นี่ด้วย ตอนนี้คงหนีไปราวๆ ร้อยลี้แล้ว”
ขณะนี้เขากำลังจ้องมองแผ่นกลมๆ สีแดงอย่างตั้งอกตั้งใจ บนนั้นมีแสงสีขาวหนึ่งจุดกำลังหมุนวนอยู่ตรงขอบอย่างช้าๆ
“ในเมื่อหนีไปอย่างรีบร้อนเช่นนี้ ระดับการฝึกฝนของคนที่มาช่วยนางคงไม่สูงเท่าไหร่ อย่างมากคงเป็นเด็กรุ่นหลังเย่เทียนเหมย หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ อย่าคิดจะหนีพ้นเงื้อมมือข้าไปได้เลย” ผู้อาวุโสหลิวค่อยๆ ขมวดคิ้ว และกล่าวด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น
จากนั้นผู้อาวุโสคิ้วดำก็สะบัดแขนเสื้อ รถเหาะที่เดิมทีเป็นของหมาซู่คันนั้น ปรากฏตรงใต้เท้าในฉับพลัน
“ข้าจะดูว่าพวกเจ้าจะหนีไปไหนได้!” กล่าวจบผู้อาวุโสคิ้วดำก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง ล้อรถหมุนวนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กลายเป็นเงาสีดำพุ่งไปด้านหน้า
……
ขณะที่หลิ่วหมิงพาเย่เทียนเหมยหนีห่างจากผู้อาวุโสหลิวร้อยลี้นั้น ศึกในหุบเขาเหล็กอัคคีก็เข้าสู่ขั้นตึงเครียดที่สุด
บังเกิดเสียงดังลั่น กลิ่นไออันน่าตกใจพวยพุ่งออกมากลางอากาศ!
ติ่งยักษ์อันยอดเยี่ยมดูหนักอึ้งขึ้นมา ลำแสงบนตัวมืดลง
เงาฝ่ามือยักษ์สีฟ้าถือโอกาสชี้ลงด้านล่าง
ชื่อลี่เห็นเช่นนี้รู้สึกตกใจมาก นางมีสีหน้าเดือดดาลขึ้นมา และอ้าปากพ่นกลุ่มแสงสีขาวออกจากปาก
กลุ่มแสงมีขนาดไม่เกินนิ้วหัวแม่มือ มันเปล่งแสงทรงกลดสีขาวอันนุ่มนวลออกมา และยังมีอักขระสีแดงจางๆ ลอยวนอยู่ไม่หยุด ไม่รู้ว่าด้านในหล่อหลอมมาจากวัสดุอันใด มันเปล่งแสงแวววาว และแผ่ไอจิตวิญญาณอันน่าตกใจออกมา
หงซานที่กำลังต่อสู้กับชิงฉินอยู่ ก็ถูกเสียงอันดังนี้ดึงดูดให้หันมามอง แต่ครู่ต่อมาก็ต้องตะโกนด้วยความตกใจ
“มันคือมุกพลังหยวน เซิ่งจีรีบถอย! มันไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถต้านทานได้”
แต่พอคำพูดนี้ออกจากปากมันก็สายไปเสียแล้ว
ชื่อลี่หัวเราะอย่างเยือกเย็น และกระตุ้นเคล็ดวิชาในทันที
พอกลุ่มแสงสีขาวกลายเป็นสีแดง และพุ่งขึ้นฟ้าในพริบตา เปลวไฟสีแดงดำก็พุ่งออกมา
มันคือเปลวไฟชีวิตที่ชื่อลี่ลำบากฝึกฝนมาหลายปี!
เซียนเซิ่งจีย่อมรู้สึกตกใจยิ่งกว่า นางรีบแสดงวิชาเรียกนิ้วมือสีฟ้ากลับมา
แต่พอมีเสียงดัง “เพล้ง!” เปลวไฟสีแดงดำก็ปะทะใส่นิ้วมือสีฟ้า และระเบิดออกมาเป็นทะเพลิงสีแดงดำขนาดสิบกว่าจั้ง
เงานิ้วมือสีฟ้าค่อยๆ จางลงท่ามกลางเปลวไฟ สุดท้ายก็กลายเป็นจุดแสงแวววาวก่อนสลายไป
ขณะนั้นเอง ชื่อลี่ตะคอกออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น และยื่นมือซ้ายไปทางทะเลเพลิง
เปลวไฟสีแดงดำม้วนตัวกลายเป็นกำแพงอัคคีที่สูงสิบกว่าจั้ง และพุ่งไปยังฝั่งตรงข้าม
สำหรับชื่อลี่แล้ว ในเมื่อได้ใช้สมบัติอันล้ำค่าของตนเองแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามรอดไปได้
เซียนเซิ่งจีเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกหวาดกลัวมาก นางรีบกระตุ้นขนวิหคกลางอากาศ จากนั้นมันก็กลายเป็นเงาร่างต้านทานกำแพงอัคคีไว้
แต่ภายใต้การโจมตีอันดุเดือดของคลื่นอัคคี เงาขนวิหคเหล่านี้ค่อยๆ แตกกระจายออกมาราวกับฟองอากาศ
หงซานเห็นเช่นนี้ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป หลังจากโจมตีชิงฉินจนร่นถอยออกไปแล้ว ร่างของเขาก็เปล่งประกาย และกำลังจะพุ่งไปทางเซียนเซิ่งจี
……………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา