สรุปเนื้อหา ตอนที่ 367 – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet
บท ตอนที่ 367 ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
แสงสีเงินเริ่มเปล่งประกายตรงระหว่างคิ้ว พลังจิตอันแข็งแกร่งถูกปล่อยออกมา หลังจากสงบจิตได้แล้ว เขาก็ทำท่ามืออยู่ไม่หยุด เพื่อควบคุมเรือเหาะให้พุ่งไปด้านหน้า จนหนีห่างรถเหาะไปได้ระยะหนึ่ง
พอผู้อาวุโสหลิวเห็นหลิ่วหมิงไม่ได้รับผลกระทบอันใด ดวงตาของเขาก็เผยแววดุร้ายออกมา แต่น้ำเสียงดูอ่อนโยนกว่าก่อนหน้านั้นมาก ทั้งยังดูเป็นกันเองด้วย
“สหาย เรือกลเหาะนี้ไม่ใช่สิ่งของธรรมดา ถึงเหินเวหาได้นานเช่นนี้ และความเร็วก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ข้าแนะนำให้ดูที่ใต้เท้าของเจ้าก่อนเถอะ!”
พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็กวาดพลังจิตไปดูเรือเหาะ แต่แล้วกลับต้องรู้สึกตรึงเครียดขึ้นมา
เป็นเพราะว่าเรือกลเหาะเดินทางมานาน และก่อนหน้านั้นยังถูกยันต์กระตุ้นความเร็วอีก ตอนนี้จึงมีรอยปรากฏออกมา ประจักษ์ชัดว่าอีกไม่นานก็จะต้านทานไม่ไหวแล้ว
หากเขาบังคับให้มันเหินเวลาต่อไปโดยไม่สนใจผลลัพธ์ที่ตามมาล่ะก็ เกรงว่าเรือเหาะลำนี้คงแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว
พอคิดมาถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็เปลี่ยนแนวความคิด และหยุดการทำท่ามือทันที ความเร็วของเรือเหาะลดลงเล็กน้อย
ผู้อาวุโสหลิวเห็นเช่นนี้ ก็เผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็กระตุ้นความเร็วของรถเหาะให้ไล่ตามไป ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงเกลี้ยกล่อมหลิ่วหมิงต่อ
“ดูท่าสหายคงเป็นคนฉลาด สุภาษิตว่ากันว่าผู้ที่รู้สถานการณ์อย่างปลอดโปร่งเท่านั้น จึงจะเป็นอัจฉริยะบุรุษได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความจริงแล้วข้ากับท่านเซียนเย่นับว่าเป็นสหายเก่า ข้าแค่ขอให้นางช่วยทำเรื่องเล็กๆ บางอย่างเท่านั้น แต่นางเป็นคนหยิ่งยะโส ข้าเองก็ใจร้อนจึงพูดผิดไปสองสามประโยค จนก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และนางก็ชักกระบี่ออกมาต่อสู้ด้วยความโมโห ข้าไม่มีทางเลี่ยงจึงพลั้งมือทำนางบาดเจ็บจนหมดสติ ความจริงข้าอยู่แต่ในหุบเขามานาน ไม่ค่อยรู้จักหลักทำนองคลองธรรมในโลกมนุษย์ ขอสหายโปรดให้อภัย”
ผู้อาวุโสหลิวรับรู้ได้ว่า หลิ่วหมิงเหมือนจะรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อยแล้ว จึงรีบเสนอเงื่อนไขออกมา
“สหายน้อย เจ้าวางใจได้เลย เพียงแค่เจ้ายอมหยุด และพาท่านเซียนเย่ตามข้าไปสถานที่บางแห่ง ข้าไม่เพียงแต่จะรับรองความปลอดภัยของเจ้ากับนาง แต่ยังจะมอบอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดให้เจ้าหนึ่งชิ้นเป็นการตอบแทน”
พอเห็นว่าความเร็วของหลิ่วหมิงเทียบกับก่อนหน้านั้นไม่ได้ ผู้อาวุโสหลิวจึงรู้สึกพอใจกับความมหัศจรรย์ของ ‘เคล็ดวิชาดูดวิญญาณ’ มาก
ด้วยพลังจิตที่แข็งแกร่งระดับผลึกของเขา บวกกับความมหัศจรรย์ของเคล็ดวิชานี้ ย่อมจัดการผู้น้อยระดับของเหลวคนหนึ่งได้อย่างไม่มีปัญหา
แต่ครู่ต่อมา รอยยิ้มของเขาก็หยุดชะงักลง สีหน้าดูหม่นหมองมากขึ้น
พอเรือกลเหาะร่อนลงพื้นอย่างรวดเร็ว ก็เผยให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย
ผู้อาวุโสหลิวรู้สึกตกใจ และแอบคิดในใจว่า แม้เจ้าเด็กนี่จะมีระดับการฝึกฝนไม่สูง แต่พลังจิตกลับแข็งแกร่งมาก
ตอนนี้เขารู้สึกอยากสังหารหลิ่วหมิงมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ควรให้เขาเติบโตอีกต่อไป มิเช่นนั้นจะเป็นภัยต่อตนเองในภายหน้า
จุดที่หลิ่วหมิงร่อนเรือเหาะลงมา เป็นส่วนลึกของป่าสีดำ ขณะที่อยู่ห่างจากพื้นสามสี่จั้ง เขาก็โบกแขนเสื้อ จากนั้นเรือเหาะก็กลายเป็นแสงลูกกลมๆ สีฟ้าก่อนถูกเก็บเข้าไป
ตอนแรกที่ผู้อาวุโสหลิวเห็นท่าทีของหลิ่วหมิงก็รู้สึกตะลึงงัน แต่ไม่นานก็เผยสีหน้าดีใจออกมา รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏบนใบหน้า
จากความเห็นของเขา หลิ่วหมิงแสร้งทำเป็นฉลาดเท่านั้น ใช้วิชาเหินเวหาก็หนีเขาไม่พ้น และคิดเอาเองว่าอาศัยพื้นที่ภูมิศาสตร์ที่ซับซ้อน ก็สามารถสลัดตนให้หลุดพ้นได้
ด้วยพลังจิตอันแข็งแกร่งระดับผลึกของเขา ไม่ว่าหลิ่วหมิงจะหลบอยู่ที่ใด ก็สามารถหาร่องรอยได้อย่างง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้นหลิ่วหมิงไม่อาจทิ้งเย่เทียนเหมยไปได้ ตอนนี้ลงจากเรือเหาะแล้วย่อมพานางหนีไปด้วย ในสถานการณ์เช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะหนีพ้นเงื้อมมือของตนเอง!
ผู้อาวุโสหลิวคิดใคร่ครวญอยู่เช่นนี้ และพารถเหาะร่อนลงไปในป่า ในระหว่างนั้นก็ใช้พลังจิตเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของหลิ่วหมิงอย่างเงียบๆ
เพียงแต่ตอนนี้แววสังหารในดวงตาของเขาดุเดือดขึ้นกว่าเดิม เขาค่อยๆ ลงไปอย่างมีแผนในใจ
แต่พอหลิ่วหมิงอุ้มเย่เทียนเหมยกระโดดลงจากอากาศแล้ว ก็ควักยันต์มาแปะบนตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตบถุงหนังสีดำบนเอว
แสงสีดำเปล่งประกายออกมา แมงป่องกระดูกโผล่ออกมาจากในนั้น
หลิ่วหมิงทำท่ามืออย่างรวดเร็ว และชี้ไปยังแมงป่องกระดูก
คีบทั้งคู่ของแมงป่องกระดูกวางตัดสลับกัน หางตะขอตรงหลังยกขึ้นมา เกล็ดสีแดงปรากฏอยู่บนผิว ไอดำพวยพุ่งออกจากตัว จากนั้นมันก็พาหลิ่วหมิงกับเย่เทียนเหมยมุดลงดินอย่างรวดเร็ว ราวกับมัจฉาที่แหวกว่ายในมหาสมุทร !
“ตู๊มๆ!” เกิดเสียงดังติดต่อกัน ดินตรงส่วนที่หลิ่วหมิงมุดลงไปเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ พอฝุ่นอันคละคลุ้งหายไปแล้ว ก็เผยให้เห็นเงาร่างของผู้อาวุโสคิ้วดำที่มีสีหน้าเขียวปัดขึ้นมา
“ฮึ! คิดไม่ถึงว่าข้าจะดูเบาเจ้าไปหน่อย อายุยังน้อยแต่มีของดีติดตัวไม่น้อยเลย ยันต์ดำดินนั่นไม่ต้องพูดถึง ไม่คาดคิดว่าจะมีแมงป่องกระดูกที่เชี่ยวชาญลักษณะของดินด้วย เช่นนี้คงจัดการยากหน่อยแล้ว”
ผู้อาวุโสหลิวคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ตัดสินใจได้
“ฮึ! แม้ข้าจะไม่ชำนาญวิชาดำดิน แต่ก็ไม่อาจปล่อยแกะอ้วนท้วนที่มาหาถึงที่ได้ มีวิชาดำดินของแมงป่องกระดูกแล้วไง ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกอย่างข้าต้องกลัวเจ้าด้วยหรือ?”
พอกล่าวจบ คิ้วยาวทั้งสองของผู้อาวุโสหลิวก็สั่นไหวโดยที่ไม่มีสายลมพัดผ่าน เขาพลิกฝ่ามือเรียกแท่งสามเหลี่ยมออกมา จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ลำแสงสีฟ้าพุ่งออกจากแท่งสามเหลี่ยม และห้อหุ้มร่างของเขาไว้
พอชี้มือข้างหนึ่งลงพื้น แท่งสามเหลี่ยมก็หลุดออกจากมือ ลำแสงสีฟ้าเปล่งประกายในพริบตา พอมีเสียงดังขึ้นมา หลุมขนาดเท่าลำตัวของคนที่ลึกสิบกว่าจั้งก็ปรากฏออกมา
ผู้อาวุโสหลิวขมวดคิ้ว และกระโดดลงไปอย่างไม่ลังเล และตามกลิ่นไอของเย่เทียนเหมยไป
แต่ตอนนี้เขาไม่มีวิธีการที่ดีกว่านี้ หลังจากทานโอสถไปหนึ่งเม็ดแล้ว ก็กัดฟันส่งพลังเวทย์ให้แมงป่องกระดูกต่อ
เมื่อความเร็วของแมงป่องกระดูกลดลงอีกครั้ง หลิ่วหมิงก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ผู้อาวุโสด้านหลังเข้าใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ
แมงป่องกระดูกขาวก็ดูร้อนใจเป็นอย่างมาก มันจึงเพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้ง
ผู้อาวุโสหลิวรู้สึกหงุดหงิด แม้จะรับรู้ได้ว่าความเร็วของแมงป่องกระดูกลดลงไปมาก
แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อน แม้ความเร็วของแท่งสามเหลี่ยมจะเทียบกับแมงป่องกระดูกไม่ได้ แต่ตนเองมีพลังเวทย์มากกว่า พวกโอสถและยันต์ไม่ใช่ทางออกในระยะยาว เขาเพียงแค่รอเวลาเท่านั้น
……
ทั้งสองไล่ตามกันนานครึ่งชั่วยาม
ตอนนี้หลิ่วหมิงสูญเสียพลังเวทย์ไปมาก สีหน้าจึงดูซีดขาวจนถึงขีดสุด ดวงตาทั้งคู่ดูริบหรี่ลง
และขณะนี้ผู้อาวุโสคิ้วดำตามอยู่ในระยะสิบลี้ ทั้งยังใช้พลังจิตก่อกวนเขาไม่หยุด
ภายใต้แรงเสริมจากโซ่ตรวนสะกดวิญญาณ เขาไม่จำเป็นต้องสนใจเสียงที่ผู้อาวุโสส่งมา แต่ตอนนี้เขาเหลือพลังเวทย์ไม่มากแล้ว และโอสถฟื้นคืนพลังในยันต์เก็บของ ก็ไม่สามารถฟื้นคืนพลังที่สูญเสียไปได้ทัน
“หรือว่าครั้งนี้ข้าต้องประมือกับผู้แข็งแกร่งระดับผลึกจริงๆ?”
หลิ่วหมิงฝืนยิ้มอย่างขมขื่น
เขารู้จักพลังของตนเองดี ถ้าผู้ที่มาเป็นผู้อาวุโสระดับผลึกขั้นต้นล่ะก็ เขาอาศัยวิธีการต่างๆ คงมีโอกาสหลบหนีไปได้ไม่น้อย
แต่หากเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึกขั้นกลางล่ะก็ มีโอกาสหลบหนีได้ไม่มากนัก
ยิ่งไปกว่านั้น พลังเวทย์ของเขาในตอนนี้ใกล้ถึงจุดเหือดแห้งแล้ว
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และส่งจิตจมดิ่งเข้าไปในร่าง เพื่อกวาดดูเงากระบี่เล็กๆ ที่ลอยอยู่บริเวณทะเลจิตวิญญาณอย่างเงียบๆ
……………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา