ด้วยระดับความรู้และสายตาของผู้แข็งแกร่งระดับผลึกอย่างเขา ย่อมมองออกว่ากระบี่เล็กสีทองที่หลิ่วหมิงพ่นออกมาในก่อนหน้านั้น เป็นจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ที่ใช้ทำกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ
แต่ที่ทำให้ลี่คุนรู้สึกฉงนก็คือ ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวอย่างหลิ่วหมิง สร้างจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่มาได้อย่างไร ทั้งยังปล่อยอานุภาพออกมาน่าตกใจเช่นนี้!
แต่พอเขาเห็นตัวอ่อนกระบี่โจมตีเสร็จแล้วก็สลายไป ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง หลังจากตัวอ่อนกระบี่โดยทำลายไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าหลิ่วหมิงจะบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถแสดงการโจมตีเช่นนี้ออกมาได้ แม้กระทั่งหลังจากฟื้นตัวกลับมาเป็นเช่นเดิมแล้ว ก็ไม่อาจพัฒนาการฝึกฝนสายกระบี่ก็เป็นไปได้
มิเช่นนั้น หากฝ่ายตรงข้ามยังแสดงการโจมตีอันน่าตกใจออกมาได้อีก ต่อไปพอเขาเห็นหลิ่วหมิงล่ะก็ จะหลบหนีไปให้ไกลๆ และลืมเรื่องไข่เทพอสูรให้หมดสิ้น
ตอนนี้เจ้าเด็กนี่ล่วงเกินราชาปีศาจสมุทร แม้จะบอกว่าส่งเขาไปขุดเจาะสายแร่กลางทะเลลึกชั่วคราว แต่คนฉลาดต่างก็รู้ดีว่า เรื่องนี้มันไม่ง่ายอย่างที่พูดแน่นอน
บวกกับตอนนี้เขายังเอาตัวรอดได้ยาก ต่อให้จะมีวิธีการใดๆ ก็ไม่กล้าเสี่ยงอันตรายทำในตอนนี้อย่างแน่นอน
ส่วนสิ่งที่ลี่คุนคิดอยู่ในใจนั้น หลิ่วหมิงย่อมพอคาดเดาได้บ้าง แต่ตอนนี้ก็ได้แต่ยิ้มบางๆ และไม่อยากไปใส่ใจมัน
เมื่อเจียหลานกับลี่คุนไปแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็เหลือเพียงแค่เย่เทียนเหมยกับหลิ่วหมิงเท่านั้น
เย่เทียนเหมยยืนขมวดคิ้วจ้องมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปข้างๆ เขา
หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เย่เทียนเหมยก็โบกแขนเสื้อออกไป หลังจากมีแสงเปล่งประกายแวววาว โอสถสีแดงเพลิงที่มีกลิ่นหอมเตะจมูกก็ปรากฏบนฝ่ามือ
พอโอสถเม็ดนี้ปรากฏออกมา มันก็ส่งกลิ่นไอจิตวิญญาณอันเข้มข้น แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา โดยเฉพาะผิวภายนอกของโอสถมีอักขระหมุนวนอยู่ และเปล่งแสงสีขาวน้ำนมออกมา ทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก
“รีบทานลงไปเถอะ!”
เย่เทียนเหมยไม่พูดอะไรมาก พอนางดีดนิ้ว โอสถก็กลายเป็นสายลมหอมพุ่งยิงออกไป
หลิ่วหมิงอ้าปากงับโอสถไว้แล้วกลืนลงไป มันกลายเป็นน้ำลายไหลลงไปในท้อง
เย่เทียนเหมยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตบฝ่ามือใส่หลังของเขา นางส่งพลังเวทย์บริสุทธิ์เข้าไปทันที หลังจากทำให้โอสถกระจายไปอย่างรวดเร็วแล้ว ก็กลายเป็นพลังลึกลับที่ให้ความรู้สึกเย็น พุ่งผ่านไปตามเส้นชีพจร มันทำการรักษาเส้นชีพจรและร่างกายในส่วนที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่หยุด
เป็นเช่นนี้กลับไปมาหนึ่งรอบ ร่างของเขาที่กระตุ้นพลังเวทย์จนได้รับผลสะท้อนกลับที่ไม่เหมาะสม ก็ถูกควบคุมไว้ได้
หลิ่วหมิงมีสีหน้าผ่อนคลายลง หลังจากหันไปมองใบหน้าประณีตงดงามราวภาพวาดของเย่เทียนเหมยทีหนึ่งแล้ว ก็พูดออกมาเบาๆ
“ขอบคุณ!”
จากนั้นเขาก็หลับตาสำรวจดูสถานการณ์ภายในร่าง
ขณะนี้ในเส้นชีพจรมีรอยร้าวปกคลุมอยู่หนาแน่น อวัยวะภายในขยับตำแหน่งเล็กน้อย แม้แต่ทะเลจิตวิญญาณที่มีพลังเวทย์หนาแน่น ก็แห้งเหือดไร้ซึ่งพลังเวทย์ใดๆ
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ยิ้มอย่างขมขื่น มันเลวร้ายกว่าที่คิดไว้มาก หากไม่ใช่ว่ากายเนื้อของตนเองแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันล่ะก็ คงเสียชีวิตไปนานแล้ว
ตอนนี้มีโอสถของเย่เทียนเหมยช่วยรักษาอาการบาดเจ็บไว้ได้ แต่หากอยากฟื้นฟูกลับมา ยังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใด
แต่พอเขานึกถึงการโจมตีที่มีพลังเหนือความคาดหมายเมื่อครู่ ก็รู้สึกใจสั่นสะท้านขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าการระเบิดตัวของตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่ง จะทำร้ายระดับแก่นแท้อย่างราชาปีศาจสมุทรได้
แม้จะบอกว่าเป็นการระเบิดของวิญญาณของตัวอ่อนกระบี่ที่ทำลายตัวเอง แต่เขาก็เชื่อว่า ต่อให้ผู้ฝึกกระบี่ระดับผลึกทั่วไป จะกระตุ้นจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ให้ระเบิดตัว แต่ไม่สามารถทำร้ายราชาปีศาจสมุทรได้อย่างแน่นอน
ด้านหนึ่งเป็นเพราะว่าเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งที่บันทึกไว้นี้ล้ำเลิศเป็นอย่างมาก อีกด้านหนึ่งพิสูจน์ได้ว่า ปรมาจารย์ลิ่วยินที่สร้างเคล็ดวิชาขี่กระบี่ปราณแกร่งนี้ มีระดับการฝึกฝนสูง จะต้องไม่ใช่ระดับผลึกอย่างแน่นอน มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่มีระดับการฝึกฝนไม่ด้อยไปกว่าราชาปีศาจสมุทร แม้กระทั่งอาจจะอยู่เหนือกว่าระดับแก่นแท้ก็เป็นไปได้
มิเช่นนั้นการโจมตีในก่อนหน้านั้น จะมีอานุภาพมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร
เย่เทียนเหมยจ้องมองหลิ่วหมิงที่ก้มหน้าคิดอะไรบางอย่างอยู่ แววตาของนางดูเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย พอถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้ว ก็อ้าปากจะพูดอะไรบางอย่างกับหลิ่วหมิง
แต่ทว่าในขณะนั้นเอง ก็มีเงาร่างสองเงาพุ่งออกมาจากม่านแสงสีฟ้าตรงด้านหลัง
หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองด้วยความตกใจ เขาค้นพบว่าผู้ที่มาก็คือชิงฉินกับชื่อลี่นั่นเอง
ชิงฉินจ้องมองทั้งสองด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วกล่าวออกมา
“พวกเจ้าทั้งสองมัวแต่ทำอะไรอยู่ที่นี่? คิดจะฝืนคำสั่งราชาปีศาจสมุทรหรือ?”
แต่แววตาของเขาในขณะที่กวาดมองหลิ่วหมิงนั้น กลับเผยท่าทีหวาดกลัวออกมา
ประจักษ์ชัดว่ากระบี่ในเมื่อครู่ ประทับอยู่ในหัวเขาอย่างลึกซึ้ง
เย่เทียนเหมยเลิกคิ้ว และจ้องมองทั้งสองอย่างเยือกเย็น แต่ไม่มีท่าทีจะขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
ชิงฉินเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็เยือกเย็นขึ้นมา และพูดขู่ทันที
“ทำไม หรือว่าท่านเซียนเย่จะฝ่าฝืน ถ้าอย่างนั้น ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน”
พอกล่าวจบ แรงกดดันมหาศาลก็ถูกปล่อยออกจากร่างของชิงฉิน
ชื่อลี่เผยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม เพียงแต่แววตาส่วนลึกที่จ้องมองเย่เทียนเหมย เผยแววเย็นยะเยือกที่ไม่สามารถตรวจจับได้ง่าย
เย่เทียนเหมยเห็นเช่นนี้ ก็แสดงใบหน้าเยือกเย็นออกมา พอขยับนิ้วมือ กระบี่เล็กสีทองก็ปรากฏบนฝ่ามือ
“ไปเถอะ! เพียงแค่มีชีวิตอยู่ ทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา