รูปร่างของแผ่นป้ายค่อนข้างเรียบง่าย พื้นผิวราบเรียบไม่มีร่องร่อยใดๆ มีขนาดประมาณฝ่ามือ และส่งกลิ่นคาวเลือดออกมาจางๆ
สายตาชิงฉินเผยแววดุร้ายออกมา เขาเอานิ้วแตะแผ่นป้ายเบาๆ พลังเวทย์บริสุทธิ์พุ่งเข้าไปในนั้นทันที
จุดแสงสีแดงเข้มเปล่งออกมาจากใจกลางแผ่นป้าย หลังจากหดขยายแล้วก็กลายเป็นแสงทรงกลดสีเลือดหมุนวนอย่างรวดเร็ว และขยายใหญ่อย่างรวดเร็วจนห่อหุ้มแผ่นป้ายไว้
ปรากฏแสงสีแดงระยิบระยับดับๆ หายๆ ริ้วรอยต่างๆ ตัดสลับไปมาบนแผ่นป้าย ริ้วรอยนี้มีสีทองจางๆ มันกับแสงสีแดงสะท้อนแสงอันแวววับให้แก่กัน ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
ชิงฉินตะคอกด้วยเสียงอันดัง จากนั้นก็โยนมันขึ้นเหนือศีรษะทันที
แผ่นป้ายหมุนติ้วๆ สักพักก็ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ มันแผ่แสงสีแดงทองแสบตาออกมา ทำให้ห้องเดี๋ยวก็สว่างเดี๋ยวก็มืด
ชิงฉินเห็นเช่นนี้ก็ร่ายคาถาออกมา อักขระสีดำพุ่งออกจากแขนทั้งสอง หลังจากหมุนอยู่ตรงหน้าหนึ่งรอบแล้ว ก็ค่อยๆ จมหายไปในแผ่นป้าย
พริบตาที่อักขระทะลักเข้าไป ริ้วรอยบนแผ่นป้ายก็ราวกับมีชีวิตชีวาขึ้นมา มันค่อยๆ หลุดออกจากแผ่นป้าย แล้วรวมตัวกลางอากาศจนเกิดเป็นกลุ่มแสงโลหิตลอยอยู่กลางอากาศ
ชิงฉินยกแขนขึ้น เขากางนิ้วทั้งห้าแล้วคว้าไปทางอากาศ
มือที่มีแสงสีดำเปล่งประกาย ช้อนเอากลุ่มแสงโลหิตไว้ในมือ
“แยก!”
ภายใต้เสียงตะคอกเบาๆ นิ้วทั้งห้าสั่นสะท้านเล็กน้อย กลุ่มแสงโลหิตแยกตัวเป็นสองกลุ่ม จากนั้นก็หมุนวนอยู่กลางฝ่ามือ
มืออีกข้างชี้ออกไปเบาๆ กลุ่มแสงสีเลือดครึ่งหนึ่งพร่ามัวกลายเป็นแสงโลหิตกระพริบหายเข้าไปในร่างของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าจิตวิญญาณเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทง ภายใต้ความตกใจ เขากลับอดทนไว้ และไม่เปล่งเสียงออกมา เส้นเลือดตรงหน้าผากนูนออกมา แต่ดวงตากลับเขม้นมองชิงฉิน
“เฮ่อๆ! เจ้าเด็กน้อย มีเม็ดโอสถกับชั้นจำกัดนี้แล้ว เจ้าก็รอเป็นทาสอยู่ก้นทะเลตลอดชีวิตเถอะ!” ขณะนี้ ชิงฉินถึงกล่าวออกมากด้วยสีหน้าเยือกเย็น
เมื่อเขาสะบัดแขนเสื้อ กลุ่มแสงสีเลือดอีกครึ่งที่เหลืออยู่บนมือ ก็กลายเป็นแสงเส้นโลหิต และละลายเข้าไปในป้ายที่ลอยอยู่กลางอากาศ
แผ่นป้ายสั่นสะท้านเปลี่ยนเป็นรูปลักษณะที่เรียบง่ายเช่นเดิม และกระพริบหายไปตรงเอวของชิงฉิน
จากนั้น ร่างของชิงฉินก็พร่ามัวและหายไปจากห้อง เหลือหลิ่วหมิงไว้เพียงคนเดียวเท่านั้น
ขณะนี้ ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงตรงทะเลจิตวิญญาณได้หายไปแล้ว เขาแหงนหน้าสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างอดไม่ได้
แม้ขณะนี้เขาจะมีพลังเวทย์เหลืออยู่เพียงน้อยนิด แต่กายเนื้อยังคงแข็งแกร่งเช่นเดิม แม้ชิงฉินจะชกกำปั้นทั้งสามใส่เขาจนรู้สึกเจ็บปวดมาก แต่ความจริงแล้วมันทำลายเขาได้น้อยถึงน้อยมาก
ผ่านไปซักพัก หลิ่วหมิงค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้น เขาไม่รักษาอาการบาดเจ็บอีก แต่กลับนั่งขัดสมาธิหลับตาทั้งสอง และตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายอย่างเงียบๆ
ฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ พูดได้ว่าเหนือความคาดคิดของหลิ่วหมิงมาก
ด้วยนิสัยสิงห์ร้ายที่มีความทะเยอทะยานอย่างราชาปีศาจสมุทรผู้นั้น เขาจะวางชั้นจำกัดในร่างของหลิ่วหมิง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
หากหลิ่วหมิงคาดการณ์ไม่ผิดล่ะก็ เกรงว่าพวกผู้แข็งแกร่งระดับผลึกอย่างอู่เหยียนต่างก็ถูกจัดการเช่นนี้ ซึ่งไม่มีใครโชคดีรอดพ้นไปได้
มิเช่นนั้น ด้วยสถานะราชาปีศาจสมุทรของเขา จะวางใจให้ผู้แข็งแกร่งต่างเผ่าเหล่านี้อยู่ข้างกายได้อย่างไร ทั้งยังพากลับรังพร้อมกันด้วย
หลิ่วหมิงขบคิดไปมา สิ่งเดียวที่ไม่เข้าใจก็คือ ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามระมัดระวังตัวเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่เก็บอาวุธจิตวิญญาณประจำตัว รวมถึงอาวุธอื่นๆ และโอสถ หรืออสูรจิตวิญญาณไปให้หมด
หรือว่าเป็นเพราะตนเองมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นกลาง สิ่งที่พกติดตัวมาไม่จึงเข้าตาเขาเลยแม้แต่น้อย?
ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงตั้งใจ หรืออาจจะมีเจตนาอื่นแอบแฝง?
หลิ่วหมิงคาดเดาเจตนาของราชาปีศาจสมุทรอยู่ไม่หยุด จากนั้นก็ทำได้เพียงแต่ตรวจสอบสถานการณ์ในร่างกายต่อ
……
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา