สรุปเนื้อหา ตอนที่ 383 – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet
บท ตอนที่ 383 ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ต่อมา วารีบริสุทธิ์หยดหนึ่งได้ก่อตัวบนฝ่ามือของเขา และราดใส่ชายบนพื้นจนฟื้นขึ้นมา
ในขณะที่กำลังกระตุ้นพลังเวทย์ปล่อยหยดวารีออกมานั้น หลิ่วหมิงกลับต้องขมวดคิ้วขึ้นมา
เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า แม้จะเป็นวิชาเล็กๆ แต่กลับใช้พลังเวทย์ไปมาก ซึ่งมากกว่าปกติสามสี่เท่าขึ้นไป!
และสถานการณ์เช่นนี้ ก่อนหน้าที่ปล่อยลูกเปลวไฟออกมา เขาก็รับรู้ถึงความผิดปกติแล้ว
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…..”
พอหลิ่วหมิงขบคิดอย่างรวดเร็ว ก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และหลับตาลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลังจากกำหนดลมหายใจเข้าออกไม่นาน สีหน้าก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน
เขาค้นพบว่าสถานที่แห่งนี้มีปราณจิตวิญญาณเบาบางมาก มีแค่หนึ่งถึงสองในสิบของโลกภายนอก
ภายใต้ผลกระทบของพลังแปลกประหลาดที่ควบคุมไว้ ทำให้เขาดูดซับปราณจิตวิญญาณฟ้าดินจากอากาศบริเวณนี้ได้น้อยมาก
เช่นนี้แล้วมันเป็นการยากที่จะนั่งสมาธิเพื่อเพิ่มพลังเวทย์ที่สูญเสียไป หรืออาจมีแค่วิธีการใช้หินจิตวิญญาณ โอสถจิตวิญญาณ และวัสดุภายนอกอื่นๆ ถึงจะรักษาพลังเวทย์ภายในร่างให้คงอยู่อย่างเต็มเปี่ยมได้
หลังผ่านการทดลองดูไปหนึ่งรอบ ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เข้าใจว่าทำไมชายที่ไม่ได้มีระดับการฝึกฝนที่อ่อนแอถึงได้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
“เฮ่อๆ! เจ้าเด็กใหม่ อย่าคิดว่าตนเองยังสามารถกระตุ้นพลังเวทย์ได้ ก็คิดจะโอ้อวดแสนยานุภาพที่นี่ ฮึ! รีบปล่อยข้า มิเช่นนั้น……”
พอชายผอมแห้งที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา เห็นหลิ่วหมิงดูดซับปราณจิตวิญญาณ ก็หัวเราะเยาะเย้ยออกมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยการคุกคาม
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ลืมตาทั้งคู่ทันที ดวงตาดูเฉียบขาดขึ้นมา และชี้มือไปทางอากาศโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
แสงเย็นสะท้านพุ่งออกจากนิ้วแล้วเข้าไปในร่างของชายผอมแห้ง พอชายผอมแห้งเห็นเช่นนี้ก็เกิดอาการหวาดผวาเป็นอย่างมาก
“เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
ทันใดนั้นอาการคันที่ไม่สามารถบอกได้ก็ปกคลุมไปทั่วร่างกาย และเข้าลึกไปถึงไขกระดูก ราวกับกำลังถูกมดจำนวนมากกัด ทำให้ชายผู้ฝึกฝนระดับของเหลวผู้นี้ นอนกลิ้งไปมาบนพื้น และส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนา
หลิ่วหมิงจ้องมองฉากนี้ด้วยแววตาเยือกเย็น ไม่ว่าชายผู้นั้นจะดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดเพียงใด เขาก็ยังมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป เสียงร้องก็ค่อยๆ เบาลง แต่ร่างของชายผู้นั้นขดตัวเป็นม้วน หนังถลอกเนื้อแตกจนทั้งตัวเต็มไปด้วยโลหิต กลิ่นไอบนตัวอ่อนลงจนถึงขีดสุด ดูหายใจรวยรินเป็นอย่างมาก
ขณะนี้ หลิ่วหมิงถึงยกแขนขึ้นมาแล้วชี้ไปทางชายร่างผอมแห้งอีกครั้ง
อาการคันบนตัวหายไปทันที สีหน้าดูผ่อนคลายลง และพลันได้ยินเสียงเยือกเย็นของหลิ่วหมิงดังเข้ามา เขาจึงหันไปมองด้วยความตกใจ
“บอกเรื่องทั้งหมดที่เจ้ารู้เกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้มาแต่โดยดี หากปิดบังข้าล่ะก็ ข้าจะให้เจ้ารสลิ้มแบบเมื่อครู่อีกครั้ง”
น้ำเสียงของหลิ่วหมิงไม่ดังมาก แต่พอเข้าไปในหูของชายร่างผอมแห้งแล้ว ก็ดูราวกับเป็นน้ำเสียงของปีศาจในปรโลก ทำให้เขารู้สึกสั่นสะท้าน หลังจากถอยออกจากไปเล็กน้อย ชายร่างผอมแห้งก็รีบเล่าออกมา
ที่แท้สถานที่แห่งนี้เป็นสายแร่ใต้ทะเลลึกที่ใหญ่ที่สุดของราชาปีศาจสมุทร มีวัสดุล้ำค่าที่หาได้ยากในโลกภายนอกฝังอยู่ในสายแร่เป็นจำนวนมาก
สถานที่ที่หลิ่วหมิงอยู่ในขณะนี้ เป็นถ้ำเหมืองแร่ที่ถูกทาสเหมืองแร่ขุดเจาะเป็นเวลาหลายปี
พื้นที่แห่งนี้กว้างราวๆ ร้อยลี้ และได้กลายเป็นโลกอีกใบแล้ว
คนงานเหมืองแร่ในสถานที่นี้ ต่างก็เป็นผู้ฝึกฝนเผ่าต่างๆ ที่ถูกราชาปีศาจสมุทรกับลูกน้องของเขาจับมา ดูเหมือนตอนนี้จะมีจำนวนราวๆ สามสี่ร้อยคน ส่วนมากเป็นชายรูปร่างผอมแห้ง และเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลว แต่ก็มีศิษย์จิตวิญญาณปะปนอยู่เป็นส่วนน้อย
พอชายร่างผอมแห้งพูดถึงสถานที่แห่งนี้ หลิ่วหมิงก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย และเอ่ยปากถามในฉับพลัน
“ทาสเหมืองแร่ระดับศิษย์จิตวิญญาณก็สามารถอยู่ได้หรือ?”
“ที่ศิษย์จิตวิญญาณเหล่านี้สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ถ้าไม่เป็นเพราะมีพรสวรรค์พิเศษ ก็มีผู้แข็งแกร่งคนอื่นคอยดูแล มิเช่นนั้นสถานที่อันตรายเช่นนี้ ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้เกินหนึ่งเดือน” ชายร่างผอมแห้งเห็นเช่นนี้ ก็รีบอธิบายออกมา
“อ๋อ! ไม่ทราบว่าสถานที่แห่งนี้มีอะไรพิเศษบ้างหรือไม่?” ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะถามอย่างไม่ใส่ใจ
“สหายมีทัศนะเฉียบแหลมมาก! ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด สถานที่แห่งนี้ถึงมีปราณจิตวิญญาณน้อยมาก และยังแผ่พลังแปลกๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว ทำให้ระดับการฝึกฝนของคนที่อยู่ที่นี่ถูกระงับไว้ ดังนั้นต่อให้จะมีพลังเวทย์แข็งแกร่งแค่ไหน หลังจากอยู่ในนี้สองสามเดือนหรือครึ่งปี พลังเวทย์ก็จะหายไปจนหมดสิ้น และจากนั้นหากคิดดูดซับปราณจิตวิญญาณมาเสริมพลังเวทย์ล่ะก็ มีโอกาสสำเร็จยากกว่าโลกภายนอกหลายพันเท่าเลยทีเดียว” ในที่สุดชายร่างผอมแห้งก็พูดในสิ่งที่หลิ่วหมิงพอจะคาดเดาได้ลางๆ ออกมา
“บอกสหายอย่างไม่ปิดบัง ในถ้ำเหมืองแร่แห่งนี้ นอกจากจะมีผู้ฝึกฝนระดับของเหลวแล้ว ยังมีเผ่าปีศาจที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึกอยู่คนหนึ่ง และยังเป็นหัวหน้ากลุ่มอิทธิพลใหญ่ในสถานที่แห่งนี้”
“ที่นี่มีผู้แข็งแกร่งระดับผลึกด้วย!” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกแปลกใจมาก
“แม้เขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึก แต่การฝึกฝนก็ถูกระงับไว้เช่นกัน พลังเวทย์ก็เหลือไม่มากแล้ว ตอนนี้ล้วนอาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่งในการเป็นหัวหน้าภายในถ้ำเหมืองแร่แห่งนี้” ชายร่างผอมแห้งรีบอธิบายออกมา
“อ๋อ! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
หลิ่วหมิงพยักหน้า และแสดงสีหน้าเข้าใจออกมา จากนั้นก็ถามต่อ
“ในเมื่อผู้แข็งแกร่งระดับผลึกเป็นหัวหน้ากลุ่มอิทธิพลหนึ่ง แสดงว่าในถ้ำเหมืองแร่ยังมีกลุ่มอิทธิพลอื่นด้วยหรือ? แล้วแบ่งกันอย่างไร?”
สีหน้าหลิ่วหมิงค่อยๆ ดูอบอุ่นขึ้นมา ทำให้ชายร่างผอมแห้งรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวต่อ
“เรียนสหาย กลุ่มอิทธิพลที่ค่อนข้างใหญ่ในถ้ำมีแค่สองกลุ่มเท่านั้น กลุ่มหนึ่งมีผู้แข็งแกร่งระดับผลึกเผ่าปีศาจเป็นหัวหน้า ส่วนอีกกลุ่มมีผู้แข็งแกร่งระดับของเหลวขั้นปลายเผ่าฆ้องทองแดงเป็นหัวหน้า”
“นึกไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายจะตั้งป้อมสู้กับผู้แข็งแกร่งระดับผลึก จะต้องมีอะไรบางอย่างที่เหนือกว่าคนทั่วไปสินะ?” หลิ่วพูดเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“ใช่แล้วนายท่าน ความจริงแล้วเผ่าฆ้องทองแดงพบเจอได้น้อยมาก แม้จะมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลาย แต่กลับมีเอ็นทองแดงและกระดูกเหล็ก เมื่อเทียบกับเผ่าปีศาจระดับผลึกแล้วยังเหนือกว่าเล็กน้อย ในสถานที่ที่มีปราณจิตวิญญาณเบาบางเช่นนี้ ย่อมอาศัยความแข็งแกร่งด้านนี้ได้ แต่กายเนื้อของสหายก็แข็งแกร่งเช่นกัน เพียงแค่แสดงพลังเล็กน้อย ย่อมมีคนบากหน้ามาพึ่งท่านไม่น้อย พอถึงเวลานั้น การเป็นหัวหน้ากลุ่มอิทธิพลที่สาม ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” ชายร่างผอมแห้งแบะปากพูดจาประจบประแจง แต่ในใจกลับกัดฟันกรอดๆ ไม่รู้ว่ามีความคิดเลวร้ายมากมายแค่ไหน เพื่อเตรียมที่จะตอบโต้ในภายหลัง
เวลาต่อมา คนผู้นี้ก็ถูกหลิ่วหมิงบีบให้ค่อยๆ เล่าเรื่องสำคัญต่างๆ ออกมา
ยกตัวอย่างเช่น แม้ว่าถ้ำเหมืองแร่ใต้ดินแห่งนี้จะมีขนาดใหญ่มาก แต่สิ่งที่ใช้เป็นอาหารได้กลับมีน้อยมาก บวกกับที่ทุกคนดูดซับปราณจิตวิญญาณจากภายนอกได้อย่างยากลำบาก จึงไม่อาจจำศีลได้นาน โดยปกติแล้วหากอยากมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่สังหารอสูรโฉดที่มาโจมตีเพื่อทานเนื้อของมัน ก็ต้องอาศัยหินแร่จำนวนมากในการแลกอาหารและหินจิตวิญญาณจากผู้พิทักษ์เหล่านั้น
แม้สายแร่ใต้ทะเลลึกแห่งนี้ จะมีแหล่งแร่อุดมสมบูรณ์ แต่ผ่านการขุดเจาะมานาน บริเวณรอบๆ เขตที่มีการขุดแร่ก็ค่อยๆ ขาดแคลนลง หากผู้ฝึกฝนอยากหาหินแร่ได้เพียงพอ ก็ต้องย้ายไปยังสายแร่ที่ลึกเข้าไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าอสูรโฉดที่พบก็อาจจะมีขนาดใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า
และในถ้ำเหมืองแร่ บรรดาทาสเหมืองแร่ต่างก็มีที่มาที่แตกต่างกัน และยังมีหลากหลายเผ่า ภายใต้สถานการณ์ที่มีอันตรายอยู่ตลอดเวลา เรื่องการปล้นสะดมเกิดขึ้นได้บ่อยราวกับการทานข้าวในแต่ละวัน
และเมื่อเกิดการต่อสู้ขึ้น อย่างเบาผู้แพ้ก็จะได้รับบาดเจ็บไปทั้งตัว และไม่มีอะไรเหลือติดตัวเลยสักอย่าง อย่างหนักก็เสียชีวิตไปเลย
……………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา