ตอน ตอนที่ 384 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 384 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
“สหายยกโทษให้ข้าด้วย! ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ หากรู้ว่าท่านมีพลังน่าตกใจเช่นนี้ ไหนเลยข้าจะกล้าล่วงเกินท่าน ที่สำคัญคือตอนนี้ใกล้จะสิ้นเดือนแล้ว เดือนนี้ข้าหาหินแร่มาได้น้อย พอแลกโอสถถอนพิษแล้วก็จะเหลือไม่มาก ด้วยเหตุนี้จึงรออยู่ตรงปากถ้ำ เผื่อว่าจะโชคดีเจอคนมาใหม่ จะได้แย่งอาวุธจิตวิญญาณไปแลกอาหารมาประทังชีวิต” ชายร่างผอมรีบโบกมือแก้ต่างในฉับพลัน
“ฟังจากคำพูดของเจ้า ดูเหมือนว่าที่นี่จะมีคนงานมาใหม่ไม่มาก?” หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจคำขอความเมตตาของฝ่ายตรงข้าม แต่กลับถามต่อ
“สหายกล่าวได้ถูกต้อง ก่อนหน้านั้นที่ข้าไปชำระหินแร่ ได้ยินพวกผู้พิทักษ์พูดกันว่า เป็นเพราะหลายปีมานี้ ราชาปีศาจสมุทรผ่านด่านแก่นแท้จึงทำให้อิทธิพลลดลงไปมาก ทาสเหมืองแร่ที่ถูกจับมาก็น้อยกว่าเมื่อก่อน แต่ก่อนทุกเดือนจะมีทาสเหมืองแร่ถูกผู้พิทักษ์โยนลงมาที่นี่หลายคน ตอนนี้หนึ่งถึงสองเดือนก็ไม่ยังเจอเลยสักคน” ชายร่างผอมแห้งถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
“ซึ่งก็พูดได้ว่าคนที่อยู่ในที่นี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสที่อยู่มาหลายปีแล้วใช่ไหม?” หลิ่วหมิงถามราวกับคิดอะไรอยู่
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่นี่บรรยากาศเลวร้ายเป็นอย่างมาก อาหารและทรัพยากรต่างๆ ล้วนขาดแคลน มีการทะเลาะเลาะแว้งกันบ่อยในระหว่างกลุ่มอิทธิพล ด้วยเหตุนี้ผู้ที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ล้วนเป็นผู้ฝึกร่างและผู้ที่มีระดับการฝึกฝนสูง ซึ่งต่างก็แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ส่วนพวกที่ค่อนข้างอ่อนแอ……หากไม่พึ่งพิงกลุ่มอิทธิพลในถ้ำหรือผู้ที่แข็งแกร่งล่ะก็ ย่อมตายไปตั้งนานแล้ว” ชายร่างผอมตอบตามตรง
พอหลิ่วหมิงถามมาถึงจุดนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจสถานการณ์ส่วนใหญ่ภายในถ้ำเหมืองแร่
แม้ชายผู้นี้จะไม่ค่อยมีหน้ามีตา แต่ก็รู้เรื่องในสถานที่แห่งนี้ไม่น้อย ด้วยเหตุนี้จึงช่วยประหยัดเวลาของเขามาก
พอชายร่างผอมเห็นหลิ่วหมิงยืนครุ่นคิดอยู่กับที่ เขาก็ค่อยๆ เอามือยันพื้นแล้วถอยออกไปเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง
“นายท่าน เรื่องที่ข้ารู้ก็ได้บอกไปจนหมดสิ้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้า…….”
ยังพูดไม่ทันจบ หลิ่วหมิงก็กวาดสายตามองอย่างเยือกเย็น
ชายร่างผอมแห้งรู้สึกสมองอื้อ จากนั้นพลังจิตอันแข็งแกร่งก็พุ่งเข้าไปในทะเลจิตรับรู้ จนเขาต้องร้องออกมาอย่างเวทนา ร่างกายอ่อนปวกเปียกแล้วล้มลงพื้นอีกครั้ง และไร้ความรู้สึกไปชั่วขณะ
หลิ่วหมิงยิ้มมุมปากและทำท่ามืออยู่ไม่หยุด แสงสีดำจมหายเข้าไปในระหว่างคิ้วของชายร่างผอมแห้งทันที จากนั้นร่างของเขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง
เมื่อเห็นสายตาซึมกระทือของชายร่างผอมแห้ง หลิ่วหมิงก็เผยสีหน้าพอใจออกมา
เวลาต่อมา เพื่อป้องกันว่าฝ่ายตรงข้ามจะปิดบังอะไรไว้ หลิ่วหมิงจึงแสดงวิชาสะกดจิตแล้วถามคำถามในก่อนหน้านั้นอีกรอบ
เมื่อทั้งหมดไม่ได้ผิดไปจากที่พูดไว้แต่แรก และไม่มีอะไรตกหล่นแล้ว เขาก็ยื่นมือไปบีบคอชายร่างผอมแห้ง
ชายร่างผอมแห้งได้สติขึ้นมาทันที แขนขาทั้งสี่กระตุกอยู่ไม่หยุด แต่หลังจากแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาแล้ว ดวงตาทั้งคู่ก็แข็งทื่อและเสียชีวิตไปในที่สุด
หลิ่วหมิงค้นตัวชายผู้นี้จนเกลี้ยง จากนั้นก็ทุบพื้นจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ และเตะศพลงไป เขาสะบัดแขนเสื้อฝังศพอย่างเร่งรีบ
หลิ่วหมิงมองไปยังทางเดินสองแห่งที่อยู่ไม่ไกล หลังจากลังเลเล็กน้อยก็เดินไปยังทางเดินบางแห่งทันที
หลังจากรู้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่สามารถดูดซับปราณจิตวิญญาณได้ เขาก็ขี้เกียจที่จะใช้พลังเวทย์ปล่อยลูกเปลวไฟออกมาทำลายศพ
……
ครึ่งชั่วยามผ่านไป บนทางเดินในถ้ำเหมืองแร่ที่หลิ่วหมิงเคยอยู่ในก่อนหน้านั้น ศพของชายร่างผอมแห้งถูกคนขุดออกมาวางไว้บนพื้น
ภายใต้การส่องแสงของหินสีเขียวที่ฝังอยู่บนผนังถ้ำ ทำให้ใบหน้าที่กระตุกก่อนตายดูแปลกประหลาดมาก
“ที่แท้ก็เป็นพี่รองซา จุ๊ๆ หากพี่สือไม่จมูกไว เกรงว่าพวกเราคงไม่อาจค้นพบได้ แต่ว่าคนลงมือช่างเด็ดขาดยิ่งนัก หากพี่ใหญ่เขารู้เรื่องนี้คงต้องเป็นบ้าอย่างแน่นอน” หนึ่งในเงาร่างสูงใหญ่สำรวจดูศพรอบหนึ่ง และกล่าวออกมา
“ที่นี่ห่างจากทางออกไม่ค่อยไกล ก่อนพวกเราไปส่งหินแร่ ก็เคยพบเจอร่องรอยการต่อสู้อย่างรุนแรงไม่ใช่หรือ ประจักษ์ชัดว่าพี่รองซาคงถูกคนที่มาใหม่สังหารอย่างแน่นอน” เงาร่างที่ค่อนข้างเตี้ยกล่าวออกมา
“เฮ่อๆ! เจ้านี่คิดจะรีดไถผู้ที่มาใหม่ เพื่อหาผลประโยชน์เล็กน้อย แต่กลับไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกสังหารเช่นนี้” เงาร่างค่อนข้างอ้วนกล่าวด้วยแววตาเย้ยหยัน
“พี่กู่ พวกเราจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี? ดูจากสภาพของศพแล้ว คงจะยังตายได้ไม่นาน ด้วยความสามารถในการติดตามของท่าน คงมีโอกาสตามเขาได้ นี่เป็นโอกาสที่ดีนะ” เงาร่างที่ค่อนข้างเตี้ยถามเงาร่างสูงใหญ่
เขาเดินไปราวๆ ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชา จนเห็นแสงสว่างตรงปลายทางด้านหน้า
ตอนนี้เขาเดินมาถึงทางแยกที่สาม ผนังหินบริเวณนั้นมีหินสีเขียวแวววาวฝังอยู่สองสามก้อน ดูไม่มีมูลค่าเลยแม้แต่น้อย มันเปล่งแสงสีขาวออกมาจางๆ
แต่พอหลิ่วหมิงเข้ามาถึงปากทาง สีหน้าก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน เท้าทั้งสองหยุดชะงัก และไถลไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
ขณะนั้นเอง มีเสียงดัง “ฟู่!” เหนือศีรษะ กระบอกเหล็กสีดำทุบลงมาอย่างรุนแรง จนเกือบจะแฉลบโดยตัวหลิ่วหมิง
“ตู๊ม!” เสียงดังก้องไปทั่วทางเดินจนก่อให้เกิดฝุ่นสีเทาขึ้นมา หลังจากฝุ่นสีเทาสลายไป ก็มีหลุมขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ ปรากฏตรงที่ที่หลิ่วหมิงเคยยืนอยู่
หลิ่วหมิงขยับร่างทีเดียว ก็มาปรากฏตัวห่างออกไปห้าหกจั้ง จากนั้นก็จ้องมองเงาร่างผอมกระหร่องก่องที่ยืนอยู่ข้างหลุมด้วยแววตาเยือกเย็น
“หลบได้นี่! คิดไม่ถึงว่าคนใหม่อย่างเจ้าจะยังพอมีความสามารถอยู่บ้าง” พอร่างผอมแห้งที่เพิ่งปรากฏออกมาเห็นเช่นนี้ ก็พูดพึมพำด้วยความแปลกใจเล็กน้อย และยกกระบองที่ดูไม่เข้ากับรูปร่างของเขาขึ้นมา หลังจากหมุนควงอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอามาแบกไว้บนบ่า จากนั้นจึงเงยหน้าสังเกตหลิ่วหมิงด้วยท่าทีแปลกใจเล็กน้อย
หลิ่วหมิงย่อมมองเห็นฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน คนผู้นั้นสวมชุดสีเทา เป็นชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอม ใบหน้าซีดเซียวเหมือนคนป่วย อวัยวะทั้งห้าเป็นปกติ แต่คิ้วเข้มและตาเป็นอย่างมาก ดูเหมือนจะมีอายุพอๆ กับหลิ่วหมิง ซึ่งกำลังสังเกตดูหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามาใหม่ หรือว่าทุกคนในนี้รู้จักกันหมด?” หลิ่วหมิงจ้องมองดาบกระดูกบนเอวกับเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะรู้จักกัน แต่ข้าอยู่ที่นี่มานานขนาดนี้ คนที่เคยพบเจอตามปกติก็จะคุ้นหน้าอยู่บ้าง อีกอย่างแม้เจ้าจะตั้งใจแต่งตัวปกปิด แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในนี้เกินหนึ่งปีล้วนมีใบหน้าซีดขาว กลิ่นไออ่อนแอเป็นอย่างมาก ไหนเลยจะยังมีชีวิตชีวาเช่นนี้” ชายหนุ่มร่างผอมได้ยินก็หัวเราะ และกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เป็นข้าเองที่สะเพร่าไปหน่อย ข้ามีนามว่าหลิ่วหมิง ท่านคงเป็นมนุษย์สินะ ไม่ทราบมีนามว่าเยี่ยงไร?” หลิ่วหมิงพยักหน้าโดยไม่ใส่ใจกับการลอบโจมตีเมื่อครู่ แต่กลับยิ้มแล้วถามออกไป
“อยากรู้ชื่อของข้า เพียงแค่มีชีวิตอยู่ได้เกินหนึ่งปี ต่อไปย่อมมีโอกาสอย่างแน่นอน นอกจากนี้ เจ้าสามารถหลบการโจมตีของข้าได้ ก็มีสิทธิ์มีชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งนี้แล้ว ข้าจะเตือนเจ้าด้วยใจจริง ไม่ว่าแผนที่ในมือของเจ้าจะได้มาจากที่ใด ก็สามารถเชื่อได้แค่ครึ่งแรกเท่านั้น ทางผ่านที่ลึกกว่าในช่วงครึ่งหลังจะเพิ่มหรือหายไปทุกครั้ง” ชายหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็กลายเป็นเงาร่างสีดำจมหายไปในทางเดินอีกสายหนึ่ง
…………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา