“สหายยกโทษให้ข้าด้วย! ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ หากรู้ว่าท่านมีพลังน่าตกใจเช่นนี้ ไหนเลยข้าจะกล้าล่วงเกินท่าน ที่สำคัญคือตอนนี้ใกล้จะสิ้นเดือนแล้ว เดือนนี้ข้าหาหินแร่มาได้น้อย พอแลกโอสถถอนพิษแล้วก็จะเหลือไม่มาก ด้วยเหตุนี้จึงรออยู่ตรงปากถ้ำ เผื่อว่าจะโชคดีเจอคนมาใหม่ จะได้แย่งอาวุธจิตวิญญาณไปแลกอาหารมาประทังชีวิต” ชายร่างผอมรีบโบกมือแก้ต่างในฉับพลัน
“ฟังจากคำพูดของเจ้า ดูเหมือนว่าที่นี่จะมีคนงานมาใหม่ไม่มาก?” หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจคำขอความเมตตาของฝ่ายตรงข้าม แต่กลับถามต่อ
“สหายกล่าวได้ถูกต้อง ก่อนหน้านั้นที่ข้าไปชำระหินแร่ ได้ยินพวกผู้พิทักษ์พูดกันว่า เป็นเพราะหลายปีมานี้ ราชาปีศาจสมุทรผ่านด่านแก่นแท้จึงทำให้อิทธิพลลดลงไปมาก ทาสเหมืองแร่ที่ถูกจับมาก็น้อยกว่าเมื่อก่อน แต่ก่อนทุกเดือนจะมีทาสเหมืองแร่ถูกผู้พิทักษ์โยนลงมาที่นี่หลายคน ตอนนี้หนึ่งถึงสองเดือนก็ไม่ยังเจอเลยสักคน” ชายร่างผอมแห้งถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
“ซึ่งก็พูดได้ว่าคนที่อยู่ในที่นี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสที่อยู่มาหลายปีแล้วใช่ไหม?” หลิ่วหมิงถามราวกับคิดอะไรอยู่
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่นี่บรรยากาศเลวร้ายเป็นอย่างมาก อาหารและทรัพยากรต่างๆ ล้วนขาดแคลน มีการทะเลาะเลาะแว้งกันบ่อยในระหว่างกลุ่มอิทธิพล ด้วยเหตุนี้ผู้ที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ล้วนเป็นผู้ฝึกร่างและผู้ที่มีระดับการฝึกฝนสูง ซึ่งต่างก็แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ส่วนพวกที่ค่อนข้างอ่อนแอ……หากไม่พึ่งพิงกลุ่มอิทธิพลในถ้ำหรือผู้ที่แข็งแกร่งล่ะก็ ย่อมตายไปตั้งนานแล้ว” ชายร่างผอมตอบตามตรง
พอหลิ่วหมิงถามมาถึงจุดนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจสถานการณ์ส่วนใหญ่ภายในถ้ำเหมืองแร่
แม้ชายผู้นี้จะไม่ค่อยมีหน้ามีตา แต่ก็รู้เรื่องในสถานที่แห่งนี้ไม่น้อย ด้วยเหตุนี้จึงช่วยประหยัดเวลาของเขามาก
พอชายร่างผอมเห็นหลิ่วหมิงยืนครุ่นคิดอยู่กับที่ เขาก็ค่อยๆ เอามือยันพื้นแล้วถอยออกไปเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง
“นายท่าน เรื่องที่ข้ารู้ก็ได้บอกไปจนหมดสิ้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้า…….”
ยังพูดไม่ทันจบ หลิ่วหมิงก็กวาดสายตามองอย่างเยือกเย็น
ชายร่างผอมแห้งรู้สึกสมองอื้อ จากนั้นพลังจิตอันแข็งแกร่งก็พุ่งเข้าไปในทะเลจิตรับรู้ จนเขาต้องร้องออกมาอย่างเวทนา ร่างกายอ่อนปวกเปียกแล้วล้มลงพื้นอีกครั้ง และไร้ความรู้สึกไปชั่วขณะ
หลิ่วหมิงยิ้มมุมปากและทำท่ามืออยู่ไม่หยุด แสงสีดำจมหายเข้าไปในระหว่างคิ้วของชายร่างผอมแห้งทันที จากนั้นร่างของเขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง
เมื่อเห็นสายตาซึมกระทือของชายร่างผอมแห้ง หลิ่วหมิงก็เผยสีหน้าพอใจออกมา
เวลาต่อมา เพื่อป้องกันว่าฝ่ายตรงข้ามจะปิดบังอะไรไว้ หลิ่วหมิงจึงแสดงวิชาสะกดจิตแล้วถามคำถามในก่อนหน้านั้นอีกรอบ
เมื่อทั้งหมดไม่ได้ผิดไปจากที่พูดไว้แต่แรก และไม่มีอะไรตกหล่นแล้ว เขาก็ยื่นมือไปบีบคอชายร่างผอมแห้ง
ชายร่างผอมแห้งได้สติขึ้นมาทันที แขนขาทั้งสี่กระตุกอยู่ไม่หยุด แต่หลังจากแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาแล้ว ดวงตาทั้งคู่ก็แข็งทื่อและเสียชีวิตไปในที่สุด
หลิ่วหมิงค้นตัวชายผู้นี้จนเกลี้ยง จากนั้นก็ทุบพื้นจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ และเตะศพลงไป เขาสะบัดแขนเสื้อฝังศพอย่างเร่งรีบ
หลิ่วหมิงมองไปยังทางเดินสองแห่งที่อยู่ไม่ไกล หลังจากลังเลเล็กน้อยก็เดินไปยังทางเดินบางแห่งทันที
หลังจากรู้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่สามารถดูดซับปราณจิตวิญญาณได้ เขาก็ขี้เกียจที่จะใช้พลังเวทย์ปล่อยลูกเปลวไฟออกมาทำลายศพ
……
ครึ่งชั่วยามผ่านไป บนทางเดินในถ้ำเหมืองแร่ที่หลิ่วหมิงเคยอยู่ในก่อนหน้านั้น ศพของชายร่างผอมแห้งถูกคนขุดออกมาวางไว้บนพื้น
ภายใต้การส่องแสงของหินสีเขียวที่ฝังอยู่บนผนังถ้ำ ทำให้ใบหน้าที่กระตุกก่อนตายดูแปลกประหลาดมาก
“ที่แท้ก็เป็นพี่รองซา จุ๊ๆ หากพี่สือไม่จมูกไว เกรงว่าพวกเราคงไม่อาจค้นพบได้ แต่ว่าคนลงมือช่างเด็ดขาดยิ่งนัก หากพี่ใหญ่เขารู้เรื่องนี้คงต้องเป็นบ้าอย่างแน่นอน” หนึ่งในเงาร่างสูงใหญ่สำรวจดูศพรอบหนึ่ง และกล่าวออกมา
“ที่นี่ห่างจากทางออกไม่ค่อยไกล ก่อนพวกเราไปส่งหินแร่ ก็เคยพบเจอร่องรอยการต่อสู้อย่างรุนแรงไม่ใช่หรือ ประจักษ์ชัดว่าพี่รองซาคงถูกคนที่มาใหม่สังหารอย่างแน่นอน” เงาร่างที่ค่อนข้างเตี้ยกล่าวออกมา
“เฮ่อๆ! เจ้านี่คิดจะรีดไถผู้ที่มาใหม่ เพื่อหาผลประโยชน์เล็กน้อย แต่กลับไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกสังหารเช่นนี้” เงาร่างค่อนข้างอ้วนกล่าวด้วยแววตาเย้ยหยัน
“พี่กู่ พวกเราจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี? ดูจากสภาพของศพแล้ว คงจะยังตายได้ไม่นาน ด้วยความสามารถในการติดตามของท่าน คงมีโอกาสตามเขาได้ นี่เป็นโอกาสที่ดีนะ” เงาร่างที่ค่อนข้างเตี้ยถามเงาร่างสูงใหญ่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา