ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 389

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 389 เกราะทรายพสุธา
ตอนที่ 389 เกราะทรายพสุธา
โดย
Ink Stone_Fantasy
“คนผู้นี้มีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นกลาง แต่ทำไมกายเนื้อถึงแข็งแกร่งเช่นนี้ ใบหน้าก็ดูแปลกตายิ่งนัก ไม่เหมือนกับคนที่อยู่ที่นี่ โม่ชี เจ้าอยู่ที่มานานเคยเห็นคนผู้นี้บ้างหรือไม่?” พอหลิ่วหมิงเดินไปไกลแล้ว หญิงที่ชื่อ ‘ชิงฉี’ ก็หันมาถามชายหนุ่มที่ดูเฉลียวฉลาดคนหนึ่ง

“ก่อนหน้านั้นข้าไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน แต่กำปั้นลูกเดี๋ยวก็โจมตีจนดาบกระดูกกระเด็นไปได้นั้น คงเป็นผู้ฝึกร่างอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งนี้ทำให้ข้านึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ พวกเจ้ายังจำเรื่องเมื่อเดือนก่อน……” ชายหนุ่มที่ดูเฉลียวฉลาดลูบคางแล้วกล่าวออกมาราวกับคิดอะไรอยู่

“อ๋อ! เจ้าหมายถึงคนมาใหม่ที่สังหารน้องชายของพี่ใหญ่ซา และพี่ใหญ่ซาประกาศรางวัลนำจับสองพันหินจิตวิญญาณใช่ไหม?” ตอนแรกชายหนุ่มอีกคนก็รู้สึกตกใจมาก แต่หลังจากคิดๆ ดูแล้วก็กล่าวออกมา

“ดูท่าคงจะเป็นคนผู้นี้ หลายปีมานี้คนที่ถูกจับมาน้อยลงทุกวัน ลำพังแค่การฆ่าพี่รองซาปิดปากอย่างง่ายดายเช่นนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนโดยทั่วไปจะสามารถทำได้” ชายหนุ่มที่ดูเฉลียวฉลาดเอามือถูกันแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“ดูจากท่าทีของคนผู้นี้แล้ว คงจะไปชำระหินแร่ เพื่อแลกโอสถถอนพิษประจำเดือนเช่นกัน คนผู้นี้พวกเราไม่สามารถไปยุแหย่ได้ แต่แค่แจ้งเบาะแสของเขาคงไม่มีปัญหาอะไร โม่ชี เจ้าไปรายงานพี่ใหญ่ซาเถอะ! สองพันหินจิตวิญญาณไม่ใช่จำนวนน้อยๆ นะ หากเราไม่ไปรายงาน คนอื่นก็ไปรายงานอยู่ดี” ชิงฉีฟังมาถึงจุดนี้ก็ลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปสั่งชายหนุ่มที่ดูเฉลียวฉลาด

ชายหนุ่มที่ดูเฉลียวฉลาดพยักหน้า และหยิบหนังอสูรออกมาแผ่นหนึ่ง หลังจากเขียนอะไรบางอย่างลงไปบนนั้นแล้ว ก็เรียกอสูรระดับต่ำที่ดูคล้ายกับหนูออกมาจากถุงหนังบนเอว พอเขานำหนังอสูรมัดกับตัวของมันแล้วก็โยนลงพื้น ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงแปลกๆ ออกมา

พออสูรน้อยตนนั้นกระพริบตาเล็กๆ ทั้งสองแล้ว มันก็พุ่งไปยังทิศทางบางแห่งทันที

……

ตอนนี้หลิ่วหมิงกำลังแบกถุงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหินแร่มุ่งหน้าไปยังเขตแลกเปลี่ยนอยู่ เขายังไม่รู้ว่าสถานะของตนเองได้ถูกเปิดเผยแล้ว และยังถูกใครบางคนไปรายงานข่าวแล้วด้วย

แต่ต่อให้เขาจะรู้เรื่องนี้ ก็คงขี้เกียจจะใส่ใจ

ด้วยสถานะผู้มาใหม่อย่างเขา หากจะยืนมั่นในสถานที่แห่งนี้ ต้องเชือดไก่ให้ลิงดูถึงจะได้

ที่เขามาเขตแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ เดิมทีก็คิดจะลงมืออย่างรุนแรงสักครั้งอยู่แล้ว พอเห็นทาสเหมืองแร่เผ่าเจ้าสมุทรเหล่านั้นมาหาเรื่องก่อน เขาจึงลงมืออย่างไม่เกรงใจ

แต่ที่เขาเพียงแค่ตีคนทั้งห้าให้สลบไปนั้น ก็เพื่อไม่ให้ตนเองดูโอ้อวดจนเกินไป ซึ่งไม่ได้ฆ่าคนตายเป็นเบือ

ระยะทางในตอนท้าย เขาพยายามเลี่ยงไปเดินทางสายเล็กๆ ที่ลับตาคน แต่ก็ยังเจอทาสเหมืองแร่กลุ่มอื่นๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้

แต่พอทาสเหมืองแร่เหล่านี้ เห็นเขามาคนเดียว และยังแบกถุงใบใหญ่ขนาดนี้ พวกเขากลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ไม่เพียงแต่จะไม่เข้ายั่วยุเท่านั้น แต่ยังหลีกทางให้ บางคนถึงกับเลี่ยงไปเดินทางอื่นเลยก็มี

สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ด้วยเหตุนี้ ระหว่างการเดินทางจึงราบรื่นเหนือความคาดหมาย

หนึ่งวันผ่านไป

เมื่อหลิ่วหมิงแบกถุงผ่านเส้นทางคดเคี้ยวสายหนึ่งจนมาถึงหน้าอุโมงค์ทางเข้าซึ่งเป็นที่ตั้งของเขตแลกเปลี่ยนนั้น พลันพบว่าบนพื้นภายในอุโมงค์ มีชายฉกรรจ์สูงราวๆ สองจั้ง ใบหน้าปูดโปนกำลังนั่งขัดสมาธิและหันหน้ามาทางปากทางเข้า ดวงตาทั้งคู่หลับสนิท ดูเหมือนกำลังนั่งสมาธิอยู่ ด้านหลังของเขายังมีชายทาสเหมืองแร่รูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่สองคน ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังรอใครบางคนอยู่

พริบตาที่หลิ่วหมิงก้าวเท้าเข้าไปในอุโมงค์ ชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็ลืมตาขึ้นมาทันที และมองมาทางหลิ่วหมิง ไม่นานเขาก็เผยสีหน้าดุร้ายออกมา และสังเกตดูหลิ่วหมิงด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตร

หลิ่วหมิงเป็นคนที่มีความคิดว่องไวมาก พอสีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นมา เท้าทั้งคู่ก็หยุดชะงักทันที และจ้องมองฉกรรจ์ด้วยสีหน้าเยือกเย็น

กลิ่นไออันตรายแผ่ออกจากตัวของพวกเขาทั้งสอง

แววโหดร้ายเปล่งประกายในดวงตาของชายฉกรรจ์ พอเขายักไหล่แล้วก็ลุกขึ้นยืนอย่างไร้ซุ้มเสียง และกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร

“สหายผู้นี้ดูไม่คุ้นตายิ่งนัก แต่ว่าดาบกระดูกบนเอวของเจ้า ข้ากลับคุ้นตามาก”

พอหลิ่วหมิงได้ยินก็ทำเหมือนจะกวาดสายตาดูดาบกระดูกบนเอวอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นถึงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ

“อ๋อ! สหายล้อข้าเล่นแล้ว ดาบกระดูกเล่มนี้ เป็นอาวุธที่ทำมาจากกระดูกของอสูรโฉดที่พบได้โดยทั่วไป”

“แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่พบได้โดยทั่วไป แต่มันกลับเป็นสิ่งที่ข้าสร้างขึ้นมาเอง และมอบให้กับน้องชายของข้า เจ้าเด็กใหม่ เจ้าช่างใจกล้าไม่เบา แม้แต่น้องชายท้องเดียวกันกับข้า เจ้าก็ยังกล้าฆ่าเขา! วันนี้เจ้าอย่าหวังจะมีชีวิตรอดไปจากที่นี่เลย!” ชายฉกรรจ์ที่ชื่อว่า ‘พี่ใหญ่ซา’ กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น

“ที่แท้คนที่ลอบโจมตีข้า ก็เป็นน้องชายร่วมท้องเดียวกันกับท่าน เหมือนว่าข้าพูดอะไรไปก็คงจะเปล่าประโยชน์ ดีมาก! ดูท่าท่านคงเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในสถานที่แห่งนี้ ข้าน้อยคงต้องขอคำชี้แนะแล้ว” พอหลิ่วหมิงได้ยินก็เข้าใจในทันที แต่พอมองรูปร่างของชายฉกรรจ์สองทีแล้ว ก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

ท่าทีคุมเชิงและบทสนทนาของทั้งสอง ย่อมดึงดูดความสนใจของทาสเหมืองแร่ในบริเวณนั้นตั้งแต่แรกแล้ว

คนเหล่านี้ต่างก็พากันหยุดเรื่องที่ทำอยู่ และหันมองมาทางด้านนี้ บ้างก็มีสีหน้าไร้ความรู้สึก บางก็มีสีหน้าตื่นเต้นกว่าปกติ ซึ่งต่างก็รอดูท่าทีของพวกเขา

ในถ้ำหินบางแห่งที่อยู่ไกลออกไป ชายวัยกลางคนที่เดิมทีรับหน้าที่ดูแลสถานที่แห่งนี้ กลับยังคงนั่งสมาธิโดยไม่สนใจอะไรเลย ราวกับว่าไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

พอพี่ใหญ่ซาได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิง ก็หดรูม่านตาลงทันที แต่ไม่นานก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง มือทั้งสองกำเข้าหากันจนแน่น ทันใดนั้นก็มีเสียงข้อกระดูกดังกรอบแกรบ ขณะเดียวกัน เท้าข้างหนึ่งก็เหยียบพื้นบริเวณนั้นอย่างรุนแรง พื้นหินที่ดูแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แตกกระจายออกมา และทรายสีเหลืองจำนวนหนึ่งก็หมุนวนรอบตัวเขา

ชายฉกรรจ์ทำท่ามือด้วยมือเดียว

“ฟู่!”

ทรายสีเหลืองกระโจนเข้าหาร่างของเขา และก่อตัวเป็นเกราะทรายพสุธาอย่างหยาบๆ ภายใต้การส่องแสงของหินเรืองแสงสีเขียวที่อยู่บนเสาหิน ทำให้มันเปล่งทรงกลดสีเหลืองออกมา พอมองจากที่ไกลๆ แลดูคล้ายหุ่นทรายพสุธาขนาดใหญ่!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา