ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 398

สรุปบท ตอนที่ 398: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอน ตอนที่ 398 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 398 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 398 กระบองเหล็กหลอม
ตอนที่ 398 กระบองเหล็กหลอม
โดย
Ink Stone_Fantasy
อสูรโฉดส่งเสียงร้องออกมาอย่างเวทนา จากนั้นก็ร่วงหล่นลงพื้นที่อยู่ไม่ไกล ดวงตาแดงก่ำทั้งคู่จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความแค้นเคือง และส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมา ขณะเดียวกันก็มีถุงพิษขนาดต่างๆ นูนขึ้นมาบนหลัง แลดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก

หลิ่วหมิงขยับตัวไปคืนเคียงข้างชายฉกรรจ์

“ขอบคุณมาก!” ชายฉกรรจ์กล่าวออกมา จากนั้นก็ทานโอสถถอนพิษลงไปหนึ่งเม็ด และใช้ยันต์ปิดบาดแผลไว้ ขณะเดียวกันก็จ้องมองอสูรโฉดร่างคางคกโดยไม่ขยับเขยื้อน

“สหายจัดการอสูรโฉดตนอื่นที่อยู่บริเวณรอบๆ เถอะ ส่วนตนนี้มอบให้ข้าก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงหรี่ตามองอสูรร่างคางคกแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา

สำหรับคำแนะนำของหลิ่วหมิง ชายฉกรรจ์ที่ชื่อ ‘เจิ้งหย่ง’ ไม่ได้มีข้อคัดค้านแต่อย่างใด หลังจากพยักหน้าแล้วก็โบกกระบี่กระดูกใส่อสูรโฉดระดับต่ำตนหนึ่ง

หลิ่วหมิงยังยืนอยู่ที่เดิม และถือดาบกระดูกจ้องมองอสูรโฉดที่อยู่ด้านล่างด้วยแววตาเยือกเย็น

อสูรโฉดร่างคางคกส่งเสียงร้องแปลกประหลาด จากนั้นก็ออกแรงที่เท้าหลังทั้งสอง และพุ่งขึ้นด้านบนอีกครั้ง ถุงพิษบนหลังจำนวนมากระเบิดออกมาทันที หมอกดำเข้มข้นพุ่งยิงออกมา พริบตาเดียวก็ปกคลุมอากาศด้านหน้าไว้

พอหลิ่วหมิงเห็นหมอกดำม้วนตัวเข้ามา เขาก็ยกแขนอย่างไม่ลังเล ลูกเปลวไฟขนาดเท่ากำปั้นกลายเป็นแสงสีแดง และจมหายไปในหมอกดำ จากนั้นเขาก็ตะโกนคำว่า “ระเบิด!” ออกมา

“ตู๊ม!”

หมอกพิษสีดำพวยพุ่งราวกับถูกพายุบ้าระห่ำม้วนตัวใส่ พริบตาเดียวก็แตกกระจายออกไป

แต่ทว่าครู่ต่อมา หลิ่วหมิงกลับค้นพบว่าอากาศตรงหน้าว่างเปล่า อสูรโฉดร่างคางคกได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

ขณะเดียวกัน พลันมีคลื่นก่อตัวบริเวณที่อยู่ห่างจากเขาไปหลายจั้ง อสูรโฉดร่างคางคกตนนั้นปรากฏออกมาราวกับปีศาจ มันอ้าปากยื่นลิ้นยาวออกมา และเล็งไปที่ระหว่างคิ้วของหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก แต่มีแสงสีแดงเปล่งประกายออกมาระหว่างคิ้ว จากนั้นเกล็ดสีแดงขนาดเท่าเม็ดถั่วก็โผล่ออกมาบริเวณหน้าผาก

“เต๊ง!”

พอลิ้นยาวของอสูรโฉดร่างคางคกปะทะกับเกล็ดสีแดง มันก็ดีดตัวกลับไปทันที

อสูรโฉดร่างคางคกรู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก

แขนหลิ่วหมิงขยายใหญ่ขึ้นมาเท่าตัว ฝ่ามือที่ถูกเกล็ดสีแดงปกคลุมคว้าลิ้นยาวเอาไว้

หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าลิ้นในมือเย็นและลื่นเป็นอย่างมาก แววตาของเขาฉายแววดุร้ายออกมา พอกระตุกนิ้วทั้งห้า พลังสั่นสะเทือนไร้รูปบางอย่างก็ถูกส่งออกไปตามลิ้นของอสูรโฉด และทะลักขึ้นไปบนหัวของมัน

อสูรโฉดเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ขณะที่ลิ้นยาวไม่สามารถหดกลับไปได้ มันก็กัดลิ้นตนเองจนขาดออกจากกัน ขณะเดียวกันถุงพิษบนหลังก็ค่อยๆ ระเบิดออกมา หมอกพิษสีดำปกคลุมเต็มฟ้า และม้วนเข้าหาหลิ่วหมิง

สีหน้าหลิ่วหมิงเคร่งขรึมขึ้นมา เท้าข้างหนึ่งแตะลงพื้น ทันใดนั้นร่างของเขาก็พุ่งยิงไปด้านหลังทันที ขณะเดียวกันลูกเปลวไฟจำนวนมากก็ถูกปล่อยออกมา

หลังจากมีเสียงระเบิดดังอยู่ระยะหนึ่ง หมอกพิษสีดำก็สลายไปกว่าครึ่งหนึ่ง

และขณะที่หลิ่วหมิงตั้งหลักได้และมองออกไปนั้น กลับค้นพบว่าอสูรโฉดร่างคางคกยักษ์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ถือโอกาสนี้พุ่งออกไปจากปากถ้ำ และหนีลอยนวลไปไกลสิบกว่าจั้งแล้ว

ในขณะนั้นเอง อสูรโฉดร่างหมาป่าอีกสองตนก็พุ่งเข้ามาตรงปากถ้ำ และกระโจนใส่หลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม

……

หนึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงกับพวกพ้องของซินหยวนก็ผลัดเปลี่ยนกันมาปกป้องปากถ้ำ เพื่อไม่ให้อสูรโฉดที่อยู่ด้านนอกบุกเข้ามาได้

และพอผ่านการต่อสู้อย่างหนักมาช่วงหนึ่ง นอกจากหลิ่วหมิงแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็ได้รับบาดแผลไม่น้อย แต่ยังโชคดีที่ไม่ถึงกับเสียชีวิต แต่ภายใต้การต่อสู้อย่างดุเดือด แต่ละคนย่อมรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรงเป็นอย่างมาก

แต่ในช่วงระหว่างเวลานี้ หลิ่วหมิงไม่ได้ใช้พลังเวทย์สักเท่าไหร่ เพียงแค่ใช้พลังจากกายเนื้อที่แข็งแกร่งปกป้องการโจมตีอย่างดุเดือดของอสูรโฉดเท่านั้น

……

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เสียงรบราฆ่าฟันภายนอกถ้ำก็ยังดังอยู่ในหูอย่างต่อเนื่อง

ขณะนี้หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในถ้ำ ดวงตาทั้งคู่หลับสนิท และทำการฟื้นฟูพลังอยู่

หลังผ่านการรบราฆ่าฟันไปหลายรอบ คนอื่นๆ ต่างก็ทนไม่ไหวกันแล้ว และหากไม่มีถ้ำดังกล่าวที่อาศัยสภาพพื้นที่ภายในถ้ำสลับกันวางค่ายกลล่ะก็ เกรงว่าคงไม่สามารถต้านทานฝูงอสูรโฉดที่อยู่ได้นอกได้

ขณะนี้ซินหยวนกับพวกพ้องที่อยู่ในถ้ำ นอกจากจะมีคนหนึ่งที่ถูกอสูรโฉดร่างคางคกโจมตีแล้ว คนที่เหลืออีกหกคนก็มีแค่สองคนที่สามารถต่อสู้ได้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บมาเล็กน้อย ขณะนี้กำลังทำการปกป้องปากถ้ำอยู่

แต่ซินหยวนที่อยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง ตั้งแต่ทานโอสถของหลิ่วหมิงแล้ว สีหน้าของเขาก็ดูดีขึ้นมามาก แต่หากจะให้ลงมือล่ะก็ เกรงว่ายังไม่สามารถทำได้ในตอนนี้

สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกเสียดายมาก

มาถึงเวลานี้แล้ว หากมีผู้แข็งแกร่งอีกคนมาช่วยล่ะก็ คงมีโอสถเอาชีวิตรอดได้มากกว่านี้

ตั้งแต่ภัยร้ายเกิดขึ้นมาจนถึงตอนนี้ เพิ่งจะผ่านไปแค่ครึ่งวันกว่าเท่านั้น แต่อสูรโฉดที่รวมตัวกันนอกถ้ำ กลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามันมีแต่เพิ่มแต่ไม่มีลดเลย

แม้เขาจะอาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่งของตนเอง ทั้งยังไม่รู้สึกว่าเปลืองแรงมาก แต่หากยืดเวลานานเข้า ยังไม่รู้เลยว่าจะยืนหยัดได้ถึงเมื่อไหร่ เพราะยังมีอสูรโฉดร่างหมาป่ายักษ์ระดับของเหลวขั้นปลายอยู่ตนหนึ่ง ที่ยังจ้องมองด้วยตาเป็นมันอยู่

ชายฉกรรจ์ที่โลหิตเปียกโชก กำลังต่อสู้กับอสูรโฉดหน้าปากถ้ำ เขาโบกสะบัดค้อนกระดูกในมือต่อสู้อยู่ไม่หยุด แม้ทุกการโจมตีจะทำให้อสูรโฉดที่กระโจนเข้ามากระเด็นออกไปสองตน แต่เนื่องจากมีพลังไม่พอตั้งแต่แรก พออสูรโฉดเหล่านั้นหล่นลงพื้น ก็ลุกขึ้นมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเข้าไปอยู่ในฝูงอีกครั้ง

ชายอีกคนที่อยู่ห่างจากเขาไปไม่ไกล ก็คือเจิ้งหย่งที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้น

ขณะนี้ขาข้างหนึ่งของเขาเต็มไปด้วยโลหิต บนตัวก็เต็มไปด้วยบาดแผล แผลบริเวณลำคอที่ถูกลิ้นของอสูรโฉดร่างคางคกแฉลบผ่านในก่อนหน้านั้นได้เปิดออกมา โลหิตไหลรินอยู่ไม่หยุด เขายืนพิงผนังหินตรงขอบปากถ้ำ และยังคงโบกสะบัดกระบี่กระดูกในมืออย่างบ้าคลั่ง ทำให้อสูรโฉดสองสามตนไม่กล้าเข้าใกล้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

พื้นที่ระหว่างพวกเขาทั้งสอง เต็มไปด้วยศพของอสูรโฉด

“ที่นี่มอบหมายให้ข้าเถอะ พวกเจ้าทั้งสองเข้าไปพักผ่อนก่อน”

หลิ่วหมิงกระโดดเข้ามาถึงด้านหน้าของชายฉกรรจ์ และตะโกนเสียงต่ำออกมา จากนั้นก็ควงกระบองเหล็กเพื่อโจมตีอสูรโฉดร่างสุนัขที่กระโจนเข้ามา

เขาโบกสะบัดกระบองที่ยาวสองจั้งกว่าๆ จนกลายเป็นเงากระบองสีดำที่ดูคล้ายเขาลูกเล็กๆ และม้วนตัวออกไปราวกับคลื่นที่โหมซัดสาด

พอปะทะโดนอสูรโฉดเหล่านั้น บ้างก็ถูกโจมตีจนเสียชีวิต บ้างก็กระอักเลือดและกระเด็นออกไป

พอกระบองเหล็กที่หนักพันกว่าชั่งอยู่ในมือของเขา มันก็ดูเบาเหมือนกับกระดาษ

มาถึงตอนนี้ พลังอันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงก็ถูกเผยออกมาจนหมด

แต่เพียงไม่กี่อึดใจ ก็มีอสูรโฉดสามสี่ตนเสียชีวิตภายใต้เงากระบองของหลิ่วหมิง จากนั้นก็มีเสียงคำรามออกมาติดต่อกัน

ชายฉกรรจ์ที่พยุงเจิ้งหย่งขึ้นมาเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมา และรู้สึกอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง

และในเวลาเดียวกัน อสูรโฉดร่างหมาป่ายักษ์สีดำที่ยืนอยู่บนเนินสูงตรงมุมอุโมงค์ ก็เหมือนจะค้นพบว่าสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย มันจึงแหงนคอส่งเสียงร้องแหลมออกมา ไอดำจำนวนมากพุ่งออกจากตัวของมัน และหมุนวนอยู่บนตัว พริบตาเดียว ก็ทำให้อสูรโฉดร่างหมาป่าที่อยู่บริเวณนั้นแหงนคอส่งเสียงออกมาเช่นกัน พลังของพวกมันดูน่าตกใจเป็นอย่างมาก

ดวงตาอสูรโฉดร่างหมาป่ายักษ์เปล่งแสงสีแดงออกมา จากนั้นร่างของมันก็พร่ามัวแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

แสงสีดำเปล่งประกายบนพื้นกว้างโล่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล อสูรโฉดร่างหมาป่ายักษ์ปรากฏตัวออกมา และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงภายใต้การปกคลุมของไอดำ ด้านหลังของมันมีอสูรร่างสุนัขสิบกว่าตนพุ่งตามเข้ามา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีแล้ว แต่กระบองยักษ์สีดำในมือยังคงโบกสะบัดอยู่ไม่หยุด ในสมองของเขามีความคิดต่างๆ หมุนวนเข้ามา

…………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา