ชวีหลิงที่เป็นรองประมุขพรรคอีกคน ก็ประกาศว่าตนเองเกิดการฝึกฝนผิดพลาด ทำให้พลังลดลงไปมาก จำเป็นต้องเก็บตัวบ่มเพาะ ด้วยเหตุนี้จึงถอนตัวออกจากเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้
ด้วยเหตุนี้ จำนวนคนที่ขาดอยู่ก็กลายเป็นสองคนทันที!
พอข่าวนี้แพร่ออกไป ก็เกิดความฮือฮาในพรรคฉางเฟิงอีกครั้ง ทำให้ผู้คนในพรรครู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา
ผ่านไปไม่นาน ประมุขพรรคฉางเฟิงก็ประกาศอย่างเป็นทางการว่า จะจัดประลองคัดเลือกบนเกาะมัจฉาเขียว เพื่อคัดเลือกผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งสองคนเป็นตัวแทนเข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้!
พอคำพูดนี้แพร่ออกไป ผู้คนจำนวนมากที่คิดว่าตนเองมีพลังแข็งแกร่ง ก็รู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา และเตรียมที่จะแสดงฝีมือในการประลองคัดเลือกครั้งนี้
และในช่วงเวลานี้ ผู้ดูแลพรรคและแขกในพรรคต่างก็มารวมตัวทำการแลกเปลี่ยนกันบ่อยขึ้น ผู้ที่ค่อนข้างมีพลังจำนวนหนึ่ง ยอมไปซื้อยันต์และอาวุธจิตวิญญาณจากสถานที่อื่นๆ เพื่อหวังจะได้เป็นตัวแทนของพรรคไปทำการเดิมพันต่อสู้ ส่วนผู้ที่มีพลังน้อย และคิดว่าตนเองไม่มีหวังได้เข้าร่วม ก็ถือโอกาสนี้หารายได้เข้าใส่ตัว
……
ห้องรับแขกภายในถ้ำที่พักของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงกับซินหยวนนั่งตรงข้ามกัน พวกเขาจิบชาไปพลาง พูดคุยเรื่องคัดเลือกผู้เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ไปพลาง
“พูดเช่นนี้ ดูเหมือนว่าพี่ซินค่อนข้างสนใจเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ และเตรียมลงชื่อเข้าร่วมแล้ว” หลิ่วหมิงจิบชาไปคำหนึ่งแล้วกล่าวอย่างสงบ
“ตอนนี้ข้าต้องการหินจิตวิญญาณแบบเร่งด่วน เพื่อสังหารอสูรตั๊กแตนโลหิตในก่อนหน้านั้น แม้แต่สมบัติชิ้นสุดท้ายก็ลงทุนไปหมดแล้ว ตอนนี้กระเป๋าแห้งเหือดมาก” ซินหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“เดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ พัวพันถึงผลประโยชน์ของกลุ่มอิทธิพลหลายกลุ่มในทะเลหนานไห่ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็น เจ้าคิดดีแล้วหรือ?” หลิ่วหมิงมองซินหยวนด้วยตาที่เป็นประกาย และกล่าวออกมา
“เฮ่อๆ! แค่เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้เท่านั้น ข้ายังมีความมั่นใจที่จะถอนตัวออกมาได้” ซินหยวนได้ยินก็หัวเราะออกมา
“พลังของท่านข้าย่อมรู้ดี แต่การต่อสู้ในครั้งนี้อันตรายมาก ควรระวังตัวไว้ก่อน” พอหลิ่วหมิงเห็นว่าซินหยวนมีท่าทีจะเข้าร่วมให้ได้ เขาก็ไม่ห้ามปรามอีก เพียงแค่กล่าวเตือนสองสามประโยค
“พี่หลิ่วชมเกินไปแล้ว พลังของท่านแกร่งกว่าข้ามาก ท่านไม่คิดเข้าร่วมประลองเลยหรือ?” ซินหยวนพูดอย่างถ่อมตนไปไม่กี่ประโยค และเอ่ยปากถามในฉับพลัน
“ข้าเตรียมเก็บตัวฝึกฝนซักระยะหนึ่ง รอจนพิษราชาปีศาจสมุทรถูกขับออกไปจนหมดแล้ว ค่อยวางแผนกันต่อไป” หลิ่วหมิงปฏิเสธอย่างนิ่มนวลโดยไม่ลังเล
แม้เขาจะรู้สึกใจเต้นเล็กน้อย แต่ในมือเขายังมีสมบัติอยู่บ้าง หากอยากเปลี่ยนเป็นหินจิตวิญญาณ ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
อีกอย่างเขาก็มาเกาะมัจฉาเขียวได้ไม่นาน ยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ทางด้านพันธมิตรจินอวี้ หลังจากคิดไตร่ตรองดูแล้ว ก็ตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้
ซินหยวนเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไรมาก หลังจากเปลี่ยนเรื่องพูดคุยกับหลิ่วหมิงเล็กน้อยแล้ว เขาก็จากไป
……
สองวันต่อมา ภายในถ้ำค่อนข้างเร้นลับบริเวณที่ทำการพรรคบนเกาะมัจฉาเขียว ผู้ดูแลกับแขกระดับสูงจำนวนหนึ่งเพิ่งจะทำการแลกเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ เสร็จ จากนั้นก็ไม่ได้จากไปในทันที แต่กลับเริ่มคุยเรื่องมโนสาเร่กัน
หลิ่วหมิงกับเหวยอวิ๋นที่เป็นคนชักนำให้เขาเข้าพรรค ก็อยู่ในนั้นด้วย
ช่วงนี้การรวมตัวขนาดย่อมเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หลิ่วหมิงก็ถือโอกาสนี้ นำวัสดุในมือที่ไม่ได้ใช้มาแลกเปลี่ยนเป็นหินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง และก็ได้ข่าวจากคนเหล่านี้มาไม่น้อย
ขณะนี้ หลิ่วหมิงกำลังพูดคุยแบบถามคำตอบคำอยู่กับเหวยอวิ๋น และแขกอีกสองคน ขณะเดียวกัน ก็ใช้หนึ่งจิตสองพลัง ฟังบทสนทนาของคนอื่นๆ
ทันใดนั้นเขาก็ใจเต้นขึ้นมา และรวบรวมสมาธิทั้งหมดไปยังคนสองคนที่นั่งสนทนาอยู่ฝั่งตรงข้าม
จะเห็นว่าทั้งสองต่างก็มีอายุราวๆ สามสิบถึงสี่สิบปี คนหนึ่งสวมชุดคลุมสีเขียว โครงหน้าสี่เหลี่ยม หูกาง อีกคนกลับเป็นนักพรตที่มีหน้าตาโหดเหี้ยม ยมยาวเคลียบ่า
คนทั้งสองดูแปลกหน้าเป็นอย่างมาก คงเป็นผู้ดำเนินการระดับสูงที่เพิ่งกลับมาหลังจากได้ยินข่าว ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ได้มาปรากฏตัวในห้องโถงในก่อนหน้า
“พี่หลี่ ได้ยินมาว่าท่านประมุขรับปากว่าหลังจากได้รับชัยชนะ ไม่เพียงแต่จะมอบสามแสนหินจิตวิญญาณให้เป็นค่าตอบแทน ทั้งยังจะเปิดคลังลับครั้งใหญ่ ให้เลือกสมบัติล้ำค่าสามชิ้น ท่านเคยเข้าไปในคลังลับของพรรคฉางเฟิง รู้บ้างไหมว่ามีสมบัติล้ำค่าอะไรอยู่ในนั้น?” ชายชุดคลุมสีเขียวสอบถามนักพรตหน้าตาโหดเหี้ยมด้วยตาที่เป็นประกาย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้
ชายวัยกลางคนหัวเราะเฮ่อๆ! แล้วกล่าวกับชายชุดคลุมสีเขียวเบาๆ
“ปีนั้นข้าได้ทำงานให้ท่านประมุข จึงโชคดีได้เข้าไปหนึ่งครั้ง แต่ด้วยความเร่งรีบจึงไม่ได้ดูอะไรมาก หลังจากเอาของเสร็จแล้วก็ออกไปเลย แต่เพียงแค่ชำเลืองดูผ่านๆ สิ่งที่พบเห็นก็ทำให้ข้าตื่นตะลึงมากแล้ว ข้าว่าแค่หยิบสมบัติชิ้นไหนก็ได้อย่างไม่ใส่ใจ มันก็มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนหินจิตวิญญาณแล้ว ซึ่งต่างก็เป็นสิ่งของมีมูลค่าที่หาไม่ได้ตามท้องตลาด ในนั้นยังมีสิ่งของหลายอย่าง หลังจากข้ากลับมาแล้วก็ยังไม่สามารถหาที่มาและประโยชน์การใช้สอยของมันได้……”
“แม้แต่ผู้ที่มีความรู้กว้างไกลอย่างพี่หลี่ยังไม่อาจแยกแยะ มันย่อมเป็นของดีอย่างแน่นอน! มีอะไรบ้างรีบๆ พูดมาเร็วๆ เถอะ” ชายชุดดำได้ยินเช่นนี้ ก็ซักถามด้วยความสนใจ
“ข้ามีความรู้ธรรมดาเท่านั้น ของที่ยังไม่เคยเห็นกับตาย่อมมีนับไม่ถ้วน แต่หลายชิ้นในนั้น หลังจากที่ข้ากลับไปหาอ่านคัมภีร์แล้ว ก็ยังหาเส้นสนกลในไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นหินแร่ห้าสีกับไผ่เงินท่อนหนึ่งที่มีลวดลายห้าสีปกคลุมอยู่ ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก……” นักพรตถูกสหายยกยอจนเผยสีหน้าพอใจออกมา หลังจากคิดใคร่ครวญดูเล็กน้อยแล้ว ก็เริ่มเล่าออกมา
แม้ทั้งสองจะพูดคุยกันเบามาก แต่ด้วยพลังจิตอันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิง ย่อมได้ยินอย่างชัดเจน
ในขณะที่นักพรตวัยกลางคนพูดถึง ‘ไผ่เงิน’ และบรรยายลักษณะของมัน หลิ่วหมิงก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“สหายเหวย ผู้ดูแลทั้งสอง ข้าน้อยมีเรื่องต้องทำ ต้องขอตัวก่อน” พอนึกถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็รีบหาข้ออ้างไปจากสิ่งก่อสร้างแห่งนี้ และตรงดิ่งไปทางที่ทำการพรรค
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา