สุดท้ายแล้วผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยืนรออยู่บนสังเวียนหนึ่งก้านธูป หากยังไม่มีใครกล้าท้าสู้ ก็จะได้เป็นตัวแทนไปเดิมพันการต่อสู้กับพันธมิตรจินอวี้
เฟิงจ้านเป็นคนควบคุมการประลองคัดเลือกเอง หลังจากพูดกฎไปหนึ่งรอบแล้ว ก็ขอให้ทุกคนให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ อย่าได้ทำการเข่นฆ่าเป็นอันขาด จากนั้นก็พาเฟิงไฉ่กับเว่ยจ้งไปยังแท่นสูงขนาดเล็กที่อยู่ไม่ไกล เพื่อทำการรับชมการต่อสู้ และประกาศให้เริ่มการประลองได้
พอสิ้นเสียงประกาศไม่นาน ก็มีคนสี่คนแบ่งเป็นสองกลุ่ม เหาะขึ้นบนสังเวียนอย่างรวดเร็ว และทำการต่อสู้ทันที
และบริเวณรอบๆ สังเวียน ย่อมมีคนกระตุ้นค่ายกลที่ได้จัดวางไว้แต่แรกแล้ว ทันใดนั้นม่านแสงสีขาวก็ปรากฏออกมาเป็นชั้นๆ และปกคลุมสังเวียนทั้งสองไว้
ฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ แม้จะไม่เบียดเสียห้อมล้อมสังเวียนจนแน่นขนัดเหมือนคนธรรมดา แต่ก็พากันมองมาจากที่ไกลๆ ด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ไม่นานก็มีเสียงดังกึกก้องมาจากแท่นสังเวียนทั้งสอง จากนั้นก็ปรากฏผลแพ้ชนะออกมา และย่อมมีคนขึ้นไปท้าสู้บนแท่นสังเวียนต่อ
หลิ่วหมิงกับซินหยวนไม่ได้รีบร้อนลงมือ พวกเขาเพียงแค่มองดูการประลองบนแท่นสังเวียนที่อยู่ไกลๆ
“แขกในพรรคที่อยู่ระดับของเหลวขั้นกลางขึ้นไปมีทั้งหมดยี่สิบแปดคน และผู้ดูแลสาขาของพรรคมีสิบคน คงจะมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางทั้งหมด ขณะนี้พลังแกนกลางในพรรค คงจะมารวมตัวกันที่นี่แปดถึงเก้าในสิบส่วน” ซินหยวนมองดูคู่ต่อสู้บนแท่นสังเวียน และค่อยๆ กล่าวออกมา
“อ๋อ! คนเหล่านั้นต่างก็มาเข้าร่วมการประลองหรือ?” พอหลิ่วหมิงได้ยินก็ถามอย่างไม่ใส่ใจ
พูดถึงความเข้าใจในพรรคฉางเฟิง หลิ่วหมิงย่อมเทียบกับซินหยวนที่เข้าสังคมเก่งไม่ได้
“มันกลับไม่ใช่อย่างนั้น จากที่ข้าสอบถามมา การประลองในครั้งนี้รวมข้ากับเจ้าแล้ว ก็มีทั้งหมดแค่สิบแปดคน ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็มาร่วมชมความสนุกสนานเท่านั้น” ซินหยวนกวาดสายตาดูกลุ่มคนที่อยู่ข้างๆ แล้วหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
……
ครึ่งวันผ่านไป
ขณะนี้การต่อสู้บนแท่นสังเวียนทั้งสองกลับดุเดือดกว่าก่อนหน้านั้นไม่น้อย
บนแท่นสังเวียนแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงกำลังถือกระบี่จิตวิญญาณสีเงินต่อสู้กับนักพรตวัยกลางคนที่ชุดคลุมสีเทาผู้หนึ่ง
แม้นักพรตชุดคลุมสีเทาผู้นี้จะมีการฝึกฝนระดับเดียวกับหลิ่วหมิง แต่พอหอกยาวสีเลือดในมือเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง มันก็กลายเป็นอสรพิษโลหิตสีแดง และอ้าปากพ่นลำแสงสีแดงออกมา วิชาที่เขาฝึกฝนดูอำมหิตมาก คิดไม่ถึงว่าจะทำให้หลิ่วหมิงมือไม้ยุ่งเป็นพัลวันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
แต่พอนักพรตชุดคลุมสีเทาวางมือลง แสงสีแดงก็เปล่งประกายออกมา หัวหอกกลายเป็นอสรพิษยักษ์ที่ยาวหลายจั้งพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง แต่กลิ่นคาวเลือดโชยเข้าถึงก่อน
เมื่อหลิ่วหมิงได้กลิ่นของมัน ก็รู้สึกจิตใจว้าวุ่น และหน้ามืดตาลายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เขาทำเสียงฮึดฮัด และกระตุ้นพลังจิตอันแข็งแกร่งทันที จากนั้นความรู้สึกผิดปกติก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
พอสะบัดข้อมือ กระบี่จิตวิญญาณสีเงินในมือก็ส่งเสียงดังกังวาน และกลายเป็นเงากระบี่ต้านทานอยู่ตรงหน้า
“เต้ง!” เงาร่างอสรพิษโลหิตกับเงากระบี่สีเงินหายไปพร้อมกัน และหัวหอกสีเลือดก็ถูกหลิ่วหมิงคว้าเอาไว้ได้
นักพรตชุดคลุมสีเทาเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา เขากระตุกแขนทั้งสองในฉับพลัน เพื่อดึงหอกยาวออกจากฝ่ามือของฝ่ายตรงข้าม แต่อาวุธชิ้นนี้ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย
พอหลิ่วหมิงสะบัดข้อมือข้างหนึ่ง พลังมหาศาลก็พรั่งพรูออกไป ทำให้นักพรตชุดคลุมสีเทาล่าถอยออกไปหลายจั้ง
และในขณะเดียวกัน พอกระบี่ในมือหลิ่วหมิงเปล่งแสงสีเงินออกมา มันก็ถูกเขวี้ยงออกไปจนกลายเป็นสายรุ้งสีเงินฟันใส่ฝ่ายตรงข้าม
นักพรตชุดคลุมสีเทาเพิ่งจะตั้งหลักได้ ก็รู้สึกว่ามีแสงสีเงินสว่างวาบตรงหน้า ขณะที่กำลังรู้สึกตกใจนั้น อักขระสีเลือดจำนวนมากก็ลอยออกจากหอกยาวในมือ หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว มันก็กลายเป็น โล่แสงโลหิตต้านทานอยู่ตรงหน้า
“เต๊ง!”
โล่กลมๆ สั่นสะท้านในทันที แสงโลหิตสว่างขึ้นมา หลังจากกระพริบหายไปแล้ว ก็มีรูกระบี่ปรากฏอยู่ตรงกลาง
นักพรตชุดคลุมสีเทารู้สึกเย็นที่แก้ม แสงสีเงินลำหนึ่งกระพริบผ่านด้านข้างไป ปราณแกร่งที่คุ้มตัวอยู่แตกสลายภายในพริบตา จนไม่อาจต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย
จากนั้นเสียงกระบี่ก็ดังมาจากด้านหลัง!
นักพรตหันกลับไปทันที แต่จะเห็นว่าสายรุ้งสีเงินแฉลบไปตามพื้นสังเวียนอย่างไร้สุ้มเสียง จนทิ้งรอยกระบี่ลึกที่ยาวสิบกว่าจั้งไว้
เหงื่อเย็นไหลนองเต็มหลังของเขาในทันที!
มาถึงตอนนี้ ไหนเลยเขาจะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามยั้งมือให้แล้ว มิเช่นนั้นเพียงแค่แสงกระบี่เมื่อครู่โดนตัวเขาเพียงเล็กน้อย เกรงว่าวันนี้คงต้องเสียชีวิต ณ ที่นี้แล้ว
“วิชาขี่กระบี่ของสหายหลิ่วยอดเยี่ยมมาก ข้าน้อยมิอาจเทียบได้” นักพรตวัยกลางคนกุมมือให้ จากนั้นก็เก็บหอกโลหิตและหมุนตัวเดินลงสังเวียนไป
หลิ่วหมิงก็กล่าวอย่างนุ่มนวล “ท่านออมมือแล้ว!” จากนั้นก็เก็บกระบี่บินกลับมา ขณะเดียวกันก็กวาดสายตามองลงด้านล่าง
“หลิ่วหมิง แขกระดับสูง ชนะ!”
เฟิงจ้านที่อยู่บนแท่นสูงเห็นเช่นนี้ ก็ประกาศออกมาอย่างราบเรียบ ประจักษ์ชัดว่าแม้วิชาขี่กระบี่ของหลิ่วหมิงจะน่าตกใจ แต่ก็ยังไม่เข้าตาผู้แข็งแกร่งระดับผลึกผู้นี้
“หลิ่วหมิงผู้นี้เป็นใครกันแน่ แม้แต่ผู้ดูแลหลี่ก็ยังพ่ายแพ้ให้ ในพรรคนี้เขาเป็นผู้แข็งแกร่งรองมาจากรองประมุขพรรคทั้งสองเท่านั้นนะ”
“ข้าว่าเป็นเพราะผู้ดูแลหลี่ยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดมากกว่า”
“พวกเจ้าจะรู้อะไร เดิมทีการฝึกฝนกระบี่ก็เป็นเรื่องยากมากแล้ว การท้าสู้เหนือขั้นยิ่งเป็นเรื่องธรรมดามาก”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา