สรุปตอน ตอนที่ 452 – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet
ตอน ตอนที่ 452 ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ระฆังเล็กมีขนาดเท่าฝ่ามือ ดูจากภายนอกแล้วมันงดงามและประณีตมาก พื้นผิวของมันมีลวดสายสีทองแปลกประหลาดปกคลุมอยู่
เฟิงจ้านโบกมือข้างหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ระฆังเล็กลอยขึ้นมา หลังจากหมุนวนติ้วๆ กลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นระฆังยักษ์ที่สูงสามจั้งในพริบตา
“เต๊ง!” เสียงระฆังดังขึ้นมา
แสงสีทองเปล่งประกายบนพื้นผิวระฆังยักษ์ อักษระสีทองเล็กๆ จำนวนมากลอยออกมา และทอสลับกันไปมาจนกลายเป็นแสงสีทอง ภายใต้การชี้นิ้วของเฟิงจ้าน มันก็กระพริบจมหายไปใต้ดินอย่างรวดเร็ว
ชวีหลิงอาศัยพลังของยันต์พยายามดำดินอย่างสุดชีวิต ขณะเดียวกันก็ส่งพลังจิตกวาดดูด้านหลังอยู่ไม่หยุด หลังจากไม่เห็นมีทีท่าว่าเฟิงจ้านจะตามมา เขาก็อดรู้สึกดีใจไม่ได้
แต่ครู่ต่อมา พลันมีคลื่นก่อตัวด้านหลังของเขาเบาๆ จากนั้นแสงสีทองก็ม้วนเข้ามาปกคลุมตัวเขาไว้
ชวีหลิงรู้สึกว่าร่างกายแข็งตัวขึ้นมา จนไม่อาจกระดิกได้เลยแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันพลังเวทย์ภายในร่างก็เกาะตัวแน่น จนไม่อาจกระตุ้นออกมาได้
“ระฆังหยุดเซียน!” เขาหลุดปากออกมา
ขณะนี้เฟิงจ้านที่อยู่ด้านบน ก็ยกมือปล่อยพลังเวทออกมา
ระฆังยักษ์สีทองสั่นไหวเบาๆ และส่งเสียงดังกังวาน “เต๊ง!” จากนั้นแสงสีทองก็ม้วนตัวออกไป และจมหายไปใต้ดินอย่างรวดเร็ว
พริบตาที่ชวีหลิงได้ยินเสียงระฆังดังเป็นครั้งที่สองนั้น ร่างของเขาก็ถูกความร้อนอันน่ากลัวห่อหุ้มไว้ ทันใดนั้นโลหิตของเขาก็ไหลย้อนกลับมา หลังจากกระอักเลือดออกมาพร้อมกับอวัยวะภายในแล้ว ดวงตาของเขาก็ไร้ซึ่งสีสันใดๆ
ครู่ต่อมา แสงสีทองบนตัวก็รัดแน่นอีกครั้ง ร่างของชวีหลิงระเบิดออกมาในพริบตา แม้แต่วิญญาณก็ยังไม่ทันได้หนี
เฟิงจ้านกวาดสายตามองพื้น หลังจากมั่นใจว่าชวีหลิงตายแล้ว เขาถึงเก็บระฆังอย่างไม่รีบร้อน
“ฮึ! กะอีแค่หอเทียนเซียงกับนิกายวิหคสวรรค์เท่านั้น! ผลลัพธ์การเดิมพันต่อสู้ในครั้งนี้ได้กำหนดไว้แล้ว มีอะไรที่ข้าต้องกังวลเล่า” เฟิงจ้านพูดพึมพำออกมาเบาๆ จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
……
วันนี้ หลิ่วหมิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ พลันค่อยๆ สะบัดแขนเสื้อปล่อยแสงสีขาวออกมาชั่วขณะหนึ่ง
เขาลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา และหยิบแผ่นค่ายกลสื่อสารออกมาแผ่นหนึ่ง มีอักษรแถวหนึ่งลอยออกมาจากในนั้น
“ในที่สุดก็ได้เวลาแล้ว” หลังจากหลิ่วมองดูอย่างชัดเจนแล้ว เขาก็พูดพึมพำออกมา จากนั้นก็เดินออกไปจากห้อง
พอไอดำม้วนตัวออกมา เขาก็พุ่งไปทางที่ทำการพรรคทันที
ผ่านไปสักพัก ขณะที่เขามาถึงลานหน้าที่ทำการพรรคนั้น ก็มีเรือเหาะยักษ์ลำหนึ่งรออยู่ที่นั่นนานแล้ว
เฟิงจ้านที่สวมชุดคลุมสีดำ เฟิงไฉ่ เว่ยจ้ง และซินหยวนได้รออยู่ตรงนั้นแล้ว
เฟิงจ้านยืนเอามือไขว้หลัง พอเห็นหลิ่วหมิงมาถึง เขาก็ยิ้มให้เล็กน้อย
หลิ่วหมิงก้าวออกไปคารวะ
ชายหนุ่มอัปลักษณ์ที่ยืนอยู่ข้างเฟิงจ้าน ยังคงมีสีหน้าทระนงองอาจ และซินหยวนก็โบกมือให้เขาด้วยรอยยิ้ม
นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีศิษย์พรรคฉางเฟิงจำนวนหนึ่ง กำลังเร่งมือเตรียมการอย่างหนัก
“เอาล่ะ! ในเมื่อมากันครบแล้ว ก็ออกเดินทางกันเถอะ! ภายใต้การสั่งการของเฟิงจ้าน ฝูงชนจึงทยอยกันขึ้นไปบนเรือยักษ์
จากนั้นเรือเหาะยักษ์ก็ส่งเสียงดังออกมา และพุ่งยิงออกไป
ประจักษ์ชัดว่าเรือเหาะยักษ์ของเฟิงจ้านลำนี้ เป็นอาวุธจิตวิญญาณเหินเวหาที่มีคุณภาพไม่เลวเลย ความเร็วของมันยากที่เรือเหาะของหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้นจะเทียบได้
ขณะที่อาวุธจิตวิญญาณเหินเวหาชิ้นนี้เหาะอยู่ ค่ายกลที่ประทับอยู่ด้านล่าง ก็แผ่ไอหมอกสีขาวออกมาพวยพุ่ง มันผลักดันแค่ทีเดียว เรือเหาะก็พุ่งออกไปร้อยกว่าจั้ง
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เรือเหาะยักษ์ก็ใช้เวลาเหาะสองวัน กว่าจะมาถึงเหนือเกาะแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงชายแดนระหว่างพรรคฉางเฟิงกับพันธมิตรจินอวี้
เกาะนี้มีรูปร่างแปลกประหลาด รอบๆ เกาะมีปล่องภูเขาไฟสิบกว่าลูกโผล่ขึ้นมาจากผิวทะเล ในนั้นมีจำนวนหนึ่งที่ปล่อยควันสีแดงดำออกมา ไอร้อนปะทุออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ก้อนเมฆที่ลอยอยู่บริเวณนั้นกลายเป็นสีแดงขึ้นมา
ภูเขาไฟที่โผล่พ้นผิวทะเลเหล่านี้ ไม่มีหญ้าขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่กลับถูกปกคลุมไปด้วยหินทรายสีแดง ภายใต้การหักเหของแสง ทำให้เกิดเป็นภาพหินละลายสีแดง มองดูไกลๆ ราวกับว่าเกาะที่อยู่ตรงกลางนั้นถูกเปลวเฟลิงห้อมล้อมไว้
สถานที่แห่งนี้ก็คือหุบเขาเปลวเพลิงที่มีชื่อเสียงในทะเลหนานไห่นั่นเอง
ขณะนี้นางคลุมผ้าคลุมสีเขียวบางๆ บนมวยผมมีปิ่นรูปร่างคล้ายนกยูงปักอยู่ ดวงตาเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่าแพรวพราวเป็นอย่างมาก
หญิงสาวทั้งสองที่อยู่ด้านหลังของนาง ก็มีผ้าสีขาวบางๆ ปิดหน้าไว้ คนหนึ่งมีผิวขาวเนียนละเอียดราวกับหิมะ ระหว่างคิ้วดูมีเสน่ห์ยิ่งนัก ส่วนอีกคนมีรูปร่างอรชร แต่ดวงตาใสแจ๋วทั้งคู่กลับเผยแววดุร้ายออกมา
“น้อมรับท่านเซียนเซียว!” พอประมุขตู๋กูเห็นนางมาถึง ก็รีบก้าวไปประสานมือคารวะ
“ประมุขตู๋กู คนของอารามจื่อเซียวยังมาไม่ถึงหรือ?” หญิงใบหน้างดงามหันมองดูรอบๆ และค้นพบว่าห่างออกไปไม่ไกลมีแต่คนของพรรคฉางเฟิง นางจึงถามออกมาอย่างราบเรียบ
“เหอะๆ! ข้าจะกล้าให้ท่านเซียนเซียวรอนานได้อย่างไร” น้ำเสียงเยือกเย็นดังมาจากท้องฟ้าไกลๆ
พอเสียงสิ้นสุดลง ก้อนเมฆสีม่วงก็พุ่งเข้ามาจากขอบฟ้า กระพริบไม่กี่ทีก็มาถึงเหนือพื้นที่แห่งนี้ และค่อยๆ ร่อนลงมา
นักพรตชุดม่วงจำนวนมากกระพริบออกมา ชายเสื้อโบกสะบัดท่ามกลางแสงสีเงินที่เปล่งประกาย แลดูมีราศียิ่งนัก
นักพรตวัยกลางคนที่มีใบหน้าซึมกระทือรอจนคนอื่นๆ ลงไปหมดแล้ว ถึงค่อยๆ โบกมือ จากนั้นเมฆสีเทาก็กระพริบหายไป ขณะเดียวกันก็มีสิ่งของที่ดูคล้ายกับแพรต่วนปรากฏอยู่บนมือ ไอสีม่วงพวยพุ่ง แค่มองก็รู้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง
ดูจากกลิ่นไอของคนอารามจื่อเซียวที่ยืนอยู่ด้านหลังนักพรตวัยกลางคนแล้ว ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลว แค่มองก็รู้ว่าเป็นศิษย์สายตรงของอารามจื่อเซียว
“พี่สือ ไม่เจอกันนาน คิดไม่ถึงว่าจะเจอกันที่นี่” พอเฟิงจ้านเห็นนักพรตวัยกลางคน เขาก็เผยสีหน้าดีใจออกมา จากนั้นก็รีบประสานมือคารวะทันที ดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักกับนักพรตผู้นี้
“ที่แท้ก็เป็นสหายสือ ไม่เจอกันหลายปี ดูท่าการฝึกฝนของท่านจะก้าวหน้าขึ้น ครั้งนี้ทางอารามจื่อเซียวส่งท่านมา ดูท่าคงจะให้ความสำคัญกับเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้มาก” หญิงแซ่เซียวมองดูนักพรตแซ่สือทีหนึ่ง หลังจากขมวดคิ้วแล้ว ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“แม้แต่ท่านเซียนเซียวยังมาที่นี่ได้ ข้าจะมาบ้างมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ข้าว่าคนของพรรคฉางเฟิงกับพันธมิตรจินอวี้ต่างก็มากันพร้อมแล้ว ถ้าอย่างนั้นเริ่มเดิมพันการต่อสู้กันเถอะ!” นักพรตวัยกลางคนพยักหน้าให้กับเฟิงจ้าน จากนั้นก็ตอบกลับหญิงใบหน้างดงามอย่างไม่สะทกสะท้าน
หญิงใบหน้างดงามได้ยินก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมาเบาๆ แต่กลับไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ขณะนั้นเอง มีเสียงเห็นร้องแหบแห้งของวิหคดังมาจากท้องฟ้า!
ฝูงชนทั้งหมดต่างก็รู้สึกตะลึงงัน!
…………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา