ระฆังเล็กมีขนาดเท่าฝ่ามือ ดูจากภายนอกแล้วมันงดงามและประณีตมาก พื้นผิวของมันมีลวดสายสีทองแปลกประหลาดปกคลุมอยู่
เฟิงจ้านโบกมือข้างหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ระฆังเล็กลอยขึ้นมา หลังจากหมุนวนติ้วๆ กลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นระฆังยักษ์ที่สูงสามจั้งในพริบตา
“เต๊ง!” เสียงระฆังดังขึ้นมา
แสงสีทองเปล่งประกายบนพื้นผิวระฆังยักษ์ อักษระสีทองเล็กๆ จำนวนมากลอยออกมา และทอสลับกันไปมาจนกลายเป็นแสงสีทอง ภายใต้การชี้นิ้วของเฟิงจ้าน มันก็กระพริบจมหายไปใต้ดินอย่างรวดเร็ว
ชวีหลิงอาศัยพลังของยันต์พยายามดำดินอย่างสุดชีวิต ขณะเดียวกันก็ส่งพลังจิตกวาดดูด้านหลังอยู่ไม่หยุด หลังจากไม่เห็นมีทีท่าว่าเฟิงจ้านจะตามมา เขาก็อดรู้สึกดีใจไม่ได้
แต่ครู่ต่อมา พลันมีคลื่นก่อตัวด้านหลังของเขาเบาๆ จากนั้นแสงสีทองก็ม้วนเข้ามาปกคลุมตัวเขาไว้
ชวีหลิงรู้สึกว่าร่างกายแข็งตัวขึ้นมา จนไม่อาจกระดิกได้เลยแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันพลังเวทย์ภายในร่างก็เกาะตัวแน่น จนไม่อาจกระตุ้นออกมาได้
“ระฆังหยุดเซียน!” เขาหลุดปากออกมา
ขณะนี้เฟิงจ้านที่อยู่ด้านบน ก็ยกมือปล่อยพลังเวทออกมา
ระฆังยักษ์สีทองสั่นไหวเบาๆ และส่งเสียงดังกังวาน “เต๊ง!” จากนั้นแสงสีทองก็ม้วนตัวออกไป และจมหายไปใต้ดินอย่างรวดเร็ว
พริบตาที่ชวีหลิงได้ยินเสียงระฆังดังเป็นครั้งที่สองนั้น ร่างของเขาก็ถูกความร้อนอันน่ากลัวห่อหุ้มไว้ ทันใดนั้นโลหิตของเขาก็ไหลย้อนกลับมา หลังจากกระอักเลือดออกมาพร้อมกับอวัยวะภายในแล้ว ดวงตาของเขาก็ไร้ซึ่งสีสันใดๆ
ครู่ต่อมา แสงสีทองบนตัวก็รัดแน่นอีกครั้ง ร่างของชวีหลิงระเบิดออกมาในพริบตา แม้แต่วิญญาณก็ยังไม่ทันได้หนี
เฟิงจ้านกวาดสายตามองพื้น หลังจากมั่นใจว่าชวีหลิงตายแล้ว เขาถึงเก็บระฆังอย่างไม่รีบร้อน
“ฮึ! กะอีแค่หอเทียนเซียงกับนิกายวิหคสวรรค์เท่านั้น! ผลลัพธ์การเดิมพันต่อสู้ในครั้งนี้ได้กำหนดไว้แล้ว มีอะไรที่ข้าต้องกังวลเล่า” เฟิงจ้านพูดพึมพำออกมาเบาๆ จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
……
วันนี้ หลิ่วหมิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ พลันค่อยๆ สะบัดแขนเสื้อปล่อยแสงสีขาวออกมาชั่วขณะหนึ่ง
เขาลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา และหยิบแผ่นค่ายกลสื่อสารออกมาแผ่นหนึ่ง มีอักษรแถวหนึ่งลอยออกมาจากในนั้น
“ในที่สุดก็ได้เวลาแล้ว” หลังจากหลิ่วมองดูอย่างชัดเจนแล้ว เขาก็พูดพึมพำออกมา จากนั้นก็เดินออกไปจากห้อง
พอไอดำม้วนตัวออกมา เขาก็พุ่งไปทางที่ทำการพรรคทันที
ผ่านไปสักพัก ขณะที่เขามาถึงลานหน้าที่ทำการพรรคนั้น ก็มีเรือเหาะยักษ์ลำหนึ่งรออยู่ที่นั่นนานแล้ว
เฟิงจ้านที่สวมชุดคลุมสีดำ เฟิงไฉ่ เว่ยจ้ง และซินหยวนได้รออยู่ตรงนั้นแล้ว
เฟิงจ้านยืนเอามือไขว้หลัง พอเห็นหลิ่วหมิงมาถึง เขาก็ยิ้มให้เล็กน้อย
หลิ่วหมิงก้าวออกไปคารวะ
ชายหนุ่มอัปลักษณ์ที่ยืนอยู่ข้างเฟิงจ้าน ยังคงมีสีหน้าทระนงองอาจ และซินหยวนก็โบกมือให้เขาด้วยรอยยิ้ม
นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีศิษย์พรรคฉางเฟิงจำนวนหนึ่ง กำลังเร่งมือเตรียมการอย่างหนัก
“เอาล่ะ! ในเมื่อมากันครบแล้ว ก็ออกเดินทางกันเถอะ! ภายใต้การสั่งการของเฟิงจ้าน ฝูงชนจึงทยอยกันขึ้นไปบนเรือยักษ์
จากนั้นเรือเหาะยักษ์ก็ส่งเสียงดังออกมา และพุ่งยิงออกไป
ประจักษ์ชัดว่าเรือเหาะยักษ์ของเฟิงจ้านลำนี้ เป็นอาวุธจิตวิญญาณเหินเวหาที่มีคุณภาพไม่เลวเลย ความเร็วของมันยากที่เรือเหาะของหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้นจะเทียบได้
ขณะที่อาวุธจิตวิญญาณเหินเวหาชิ้นนี้เหาะอยู่ ค่ายกลที่ประทับอยู่ด้านล่าง ก็แผ่ไอหมอกสีขาวออกมาพวยพุ่ง มันผลักดันแค่ทีเดียว เรือเหาะก็พุ่งออกไปร้อยกว่าจั้ง
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เรือเหาะยักษ์ก็ใช้เวลาเหาะสองวัน กว่าจะมาถึงเหนือเกาะแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงชายแดนระหว่างพรรคฉางเฟิงกับพันธมิตรจินอวี้
เกาะนี้มีรูปร่างแปลกประหลาด รอบๆ เกาะมีปล่องภูเขาไฟสิบกว่าลูกโผล่ขึ้นมาจากผิวทะเล ในนั้นมีจำนวนหนึ่งที่ปล่อยควันสีแดงดำออกมา ไอร้อนปะทุออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ก้อนเมฆที่ลอยอยู่บริเวณนั้นกลายเป็นสีแดงขึ้นมา
ภูเขาไฟที่โผล่พ้นผิวทะเลเหล่านี้ ไม่มีหญ้าขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่กลับถูกปกคลุมไปด้วยหินทรายสีแดง ภายใต้การหักเหของแสง ทำให้เกิดเป็นภาพหินละลายสีแดง มองดูไกลๆ ราวกับว่าเกาะที่อยู่ตรงกลางนั้นถูกเปลวเฟลิงห้อมล้อมไว้
สถานที่แห่งนี้ก็คือหุบเขาเปลวเพลิงที่มีชื่อเสียงในทะเลหนานไห่นั่นเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา