ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 453

สรุปบท ตอนที่ 453: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปตอน ตอนที่ 453 – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

ตอน ตอนที่ 453 ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 453 จับฉลาก
ตอนที่ 453 จับฉลาก
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองหาต้นตอของเสียง ก็ค้นพบว่าขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ มีวิหคจิตวิญญาณตัวหนึ่งแผดเสียงร้องเข้ามา

มันมีลำตัวยาวราวๆ สองสามจั้ง ขนสีฟ้าปกคลุมเต็มตัว มีหงอนสีแดงเลือดอยู่บนหัว ปีกทั้งสองกระพืออย่างรวดเร็ว จนก่อเกิดเป็นพายุบ้าระห่ำ มีคนราวๆ สิบกว่าคนยืนอยู่บนนั้น

“นิกายวิหคสวรรค์” ตู๋กูอวี้เห็นเช่นนี้ก็พูดโพล่งออกมาด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน

เฟิงจ้านเองก็หรี่ตาลงทันที!

พอเสียงสิ้นสุดลง ก็มีเรือเหาะพุ่งมาจากด้านหลังของวิหคหกยักษ์

เรือลำนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก พื้นผิวเป็นสีฟ้าอ่อน ปลายทั้งสองมีผลึกหินสีเทาจางๆ ฝังอยู่

พอหญิงแซ่เซียวกับนักพรตแซ่สือเห็นเช่นนี้ ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

หลังจากวิหคยักษ์เหาะมาอยู่เหนือพื้นที่ท้องกระทะแล้ว ชายที่มีจมูกราวกับปากเหยี่ยว ก็เหาะลงมาจากบนนั้น

จากนั้นเรือเหาะที่อยู่ด้านหลังก็ตามมาถึง และค่อยๆ ร่อนลงพื้น แม่ชีสวมชุดคลุมสีดำหลายคนเหาะลงมาเช่นกัน

แม่ชีสวมชุดคลุมสีดำที่นำหน้ามานั้น สวมหมวกสีเทา ใบหน้าหมดจด มีท่าทีอ่อนโยนมาก ซึ่งนางก็คือคนที่พาเจียหลานไปจากเกาะเล็กๆ ในวันนั้น

“อารามชิงสุ่ย!”

ไม่รู้ว่าใครเป็นคนหลุดปากออกมา

“ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นเมี่ยวซินซือไท่กับสหายจากนิกายวิหคสวรรค์นั่นเอง ท่านทั้งสองไม่ได้อยู่กลุ่มอิทธิพลเดียวกับพวกเรา มาเกาะเปล่าเปลี่ยวแห่งนี้ทำไมกัน?” หญิงแซ่เซียวหัวเราะคิกคักแล้วเอ่ยปากออกมา

“ท่านเซียนเซียว ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะได้ยินว่าพันธมิตรจินอวี้กับพรรคฉางเฟิงทำการเดิมพันต่อสู้กันเอง ลืมไปแล้วหรือว่านิกายวิหคสวรรค์เรา ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่แถบนี้? ในเมื่อเกี่ยวข้องกับการแบ่งพื้นที่กันใหม่ ข้าคิดว่านิกายวิหคสวรรค์ก็มีสิทธิ์เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้” แม่ชีชุดดำยิ้มเล็กน้อย และกล่าวอย่างไม่รีบร้อน

หญิงแซ่เซียวได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกหนักอึ้งในใจ

“เมี่ยวซินซือไท่ ในเมื่อเป็นจุดเชื่อมต่อของพรรคฉางเฟิงกับพันธมิตรจินอวี้ พวกเขาทั้งสองจะแย่งชิงกัน ก็ไม่มีอะไรที่พอจะวิจารณ์ได้ แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิกายวิหคสวรรค์นะ เหตุผลของซือไท่ดูไม่หนักแน่นพอ” นักพรตวัยกลางคนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา

“ข้าไม่คิดว่ามีตรงไหนที่ไม่หนักแน่นพอ! หากท่านทั้งสองไม่ยอมรับปากล่ะก็ ไม่ว่าผลการเดิมพันต่อสู้ในครั้งนี้จะออกมาเป็นเช่นไร อารามชิงสุ่ยข้าก็จะไม่ยอมรับอย่างแน่นอน” แม่ชีถอนหายใจเบาๆ น้ำเสียงยังคงสงบเช่นเดิม แต่คำพูดข่มขู่ที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นกลับรับรู้ได้อย่างชัดเจน

“สหายคิดว่าพูดเช่นนี้แล้ว ข้าจะตอบตกลงงั้นหรือ?” หญิงแซ่เซียวได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที

“เรื่องนี้มิได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหอท่านแล้ว ในเมื่ออารามเราเป็นเบื้องบนของนิกายวิหคสวรรค์ ย่อมต้องช่วยพวกเขาเรียกร้องความยุติธรรม หรือสหายคิดว่าทางอารามเราจะยอมรับเรื่องนี้โดยปริยายหรือ?” แม่ชีกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ สำนวนการพูดคมกริบมาก

หญิงแซ่เซียวมีสีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง และไม่อาจกล่าวปฏิเสธออกมาได้จริงๆ ทันใดนั้น นางก็หันไปถามนักพรตใบหน้าซึมกระทือด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น

“สหายสือ ท่านมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?”

“ข้าไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ท่านเซียนเซียวตัดสินใจได้เลย” นักพรตวัยกลางคนแสดงสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่กลับกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ

“เจ้าเฒ่าจิ้งจอกนี่!” พอหญิงเซียวได้ยินก็แอบตำหนิอยู่ในใจ

คำพูดลอยๆ ของฝ่ายตรงข้ามก็เท่ากับว่าให้นางเผชิญหน้ากับความกดดันของอารามชิงสุ่ยเพียงผู้เดียว

ถ้าจะให้ทางด้านแม่ชีเข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ ก็จะมีศัตรูแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง ในใจนางย่อมรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“ทุกท่านวางใจได้ เพียงแค่นิกายวิหคสวรรค์ได้เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ ข้าจะสาบานในนามของอารามชิงสุ่ยว่า ไม่ว่าผลลัพธ์การต่อสู้จะออกมาเป็นรูปแบบใด ก็จะไม่มีข้อคัดค้านใดๆ นอกจากนี้เพื่อความยุติธรรม สหายหยวนของนิกายวิหคสวรรค์ก็ยอมใช้พื้นที่หนึ่งในสามเป็นของเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ด้วย” แม่ชีกล่าวอย่างราบเรียบ

“ไม่ผิด! เป็นอย่างที่ซือไท่พูด หากพวกท่านทั้งสองมีความมั่นใจจริงๆ ก็ลองเอาเกาะเปล่าเปลี่ยวสองสามแห่งที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนิกายวิหคสวรรค์ของเราไปให้ได้สิ” ชายจมูกเหยี่ยวหัวเราะก่อนกล่าวออกมา

“ในเมื่อซือไท่พูดเช่นนี้ หากข้าไม่ยินยอมก็คงถูกหาว่าเป็นคนเลวแล้ว” หญิงแซ่เซียวเงียบไปพักใหญ่ๆ จากนั้นก็กัดฟันตอบรับในที่สุด

นักพรตสือแห่งอารามจื่อเซียวกลับไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด และก็พยักหน้าตอบรับอย่างเงียบๆ

แม้เฟิงจ้านกับตู๋กูอวี้จะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึกเช่นกัน แต่ต่อหน้าหนึ่งในสิบนิกายขนาดใหญ่ของทะเลหนานไห่ กลับไม่สามารถแทรกแซงการตัดสินใจในครั้งนี้ได้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับมองหน้ากันด้วยความเห็นอกเห็นใจ

หลังจากแม่ชีกับหญิงแซ่เซียวและคนอื่นๆ เจรจาต่อรองกันเรียบร้อยแล้ว ก็ตัดสินการต่อสู้จากสองฝ่ายให้เป็นสามฝ่าย และหมุนเวียนกันต่อสู้

“สหายหยวน ไม่ทราบว่านิกายวิหคสวรรค์ส่งผู้ใดเข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้?” เฟิงจ้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ชายจมูกเหยี่ยวหัวเราะแล้วพลันโบกมือไปยังวิหคยักษ์ที่ลอยอยู่ด้านบน จากนั้นศิษย์ชายหญิงที่สวมชุดนิกายวิหคสวรรค์จำนวนสิบกว่าคน ก็ค่อยๆ เหาะลงมาด้านล่าง และผู้ที่ร่วมการประลองเป็นหนึ่งหญิงกับสองชาย

ชายหนึ่งในนั้นเป็นชายฉกรรจ์ผมแดงที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ส่วนอีกคนกลับผอมแห้งราวกับท่อนไม้ หน้าตาอัปลักษณ์มาก

ส่วนหญิงสาวกลับสวมชุดสีฟ้า ใบหน้างดงาม ดวงตาทั้งคู่ใสแจ๋วไร้ตำหนิ

พอหลิ่วหมิงกับซินหยวนเห็นใบหน้าของหญิงสาวชุดสีฟ้าอย่างชัดเจน ต่างก็รู้สึกตกตะลึงในทันที

หญิงสาวตรงหน้าไม่ใช่ใครอื่นใด นางคือเจียหลานที่พลัดจากกันหลังจากออกจากจุดตัดมิตินั่นเอง!

ไม่เจอกันหลายเดือน รูปร่างหน้าตาของนางไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่เสน่ห์บนตัวนางดูเหมือนจะจางลงไปเล็กน้อย แต่กลับดูเป็นสาวน้อยบริสุทธิ์ เพียงแต่ดวงตาแวววาวทั้งคู่ ยังคงแผ่พลังยั่วยวนที่ทำให้คนไม่อาจปฏิเสธได้

“บาตรนี้ป้องกันไม่ให้พลังจิตเข้าไปด้านในได้ ทุกสิ่งล้วนถูกฟ้ากำหนดมา” แม่ชีเมี่ยวซินค่อยๆ อธิบายออกมา

พูดจบนางก็ทำท่ามือ และชี้นิ้วลงบนบาตรเงิน ทันใดนั้น แสงสีเงินก็เปล่งประกายออกมา

หญิงแซ่เซียวกับนักพรตแซ่สือที่อยู่ด้านข้าง ปล่อยพลังจิตออกไปทันที หลังจากทดลองดูก็ค้นพบว่าไม่สามารถนำจิตเข้าไปในนั้นได้ จากนั้นก็พยักหน้าเพื่อบ่งบอกว่าไม่มีปัญหาใดๆ

“ประมุขเฟิง ประมุขตู๋กู ประมุขหยวน ให้ศิษย์ที่เข้าร่วมต่อสู้มาจับฉลากเถอะ!” แม่ชีเมี่ยวซินกล่าวออกมา จากนั้นก็โยนบาตรออกไปเบาๆ และมันก็ลอยอยู่กลางอากาศอย่างมั่นคง

ผู้ที่เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ทั้งเก้าคนเห็นเช่นนี้ ก็ค่อยๆ เดินมาด้านหน้าด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป

ขณะที่เดินไปนั้น หลิ่วหมิงก็มองไปทางพันธมิตรจินอวี้อย่างอดไม่ได้

และผู้ที่เดินออกมาคนแรกก็คือชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้า ที่หลิ่วหมิงให้ความสนใจในตอนแรก ส่วนอีกสองคนก็เป็นชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่กับบัณฑิตชุดคลุมสีทอง

หลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูคนทั้งสาม ก็ค้นพบว่าชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้า ก็อยู่ระดับของเหลวขั้นกลางเหมือนกับเขา ส่วนอีกสองคนนั้นกลับมองไม่เห็นระดับการฝึกฝนได้อย่างชัดเจน คิดว่าคงจะอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย

ต่อมา แม่ชีเมี่ยวซินก็ให้คนนิกายวิหคสวรรค์ทั้งสามคนออกมาจับฉลากก่อน

ชายผอมแห้งผู้นั้นยื่นมือขวาเข้าไปในบาตรเงิน และหยิบไผ่สีเขียวออกมาหนึ่งอัน บนนั้นมีหมายเลข ‘สาม’ เขียนอยู่ จากนั้นก็หัวเราะแล้วเดินออกไปด้านข้าง

ต่อมา ชายฉกรรจ์ผมแดงก็ยื่นมือไปหยิบไผ่ที่เขียนหมายเลข ‘สี่’ ไว้ จากนั้นก็เดินไปยืนอยู่ข้างๆ ชายผอมแห้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

ขณะที่ถึงตาเจียหลานนั้น เมื่อนางยื่นมือไปหยิบออกมา ก็ได้ไผ่อันที่มีหมายเลข ‘สอง’ เขียนอยู่

“หมายเลขสองหรือ?” เว่ยจ้งซุบซิบเบาๆ แม้เสียงจะไม่ดังมาก แต่ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างก็มีระดับการฝึกฝนที่ไม่เลว ย่อมได้ยินอย่างชัดเจน

หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไปแต่อย่างใด แต่เฟิงจ้านที่อยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนี้ กลับมีสีหน้าแข็งกระด้างขึ้นมา หญิงแซ่เซียวกลับจ้องมองเฟิงจ้านอย่างยิ้มน้อยยิ้ม ดวงตาฉายแววเย้ยหยันออกมา

แม่ชีเมี่ยวซินเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าอึมครึมเล็กน้อย หลังจากมองดูชายหนุ่มชุดดำทีหนึ่งแล้ว ถึงประกาศออกมาอย่างราบเรียบ

“ต่อไปให้คนของพรรคฉางเฟิงมาจับฉลากได้”

พอตู๋กูอวี้เห็นว่าแม่ชีเมี่ยวซินเอาพันธมิตรจินอวี้ไว้หลังสุด เขาก็เผยสีหน้าไม่พอใจออกมา แต่กลับไม่พูดอะไรมาก

…………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา