ซินหยวนเข้าไปหยิบไผ่ออกมาอันหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ
“หมายเลขหนึ่ง!” ซินหยวนมองสิ่งที่อยู่ในมือแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน แม้จะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร แต่ดูท่าตนเองจะต้องเข้าต่อสู้เป็นคนแรกอย่างแน่นอน
หลิ่วหมิงเดินเข้าไปหยิบต่อจากซินหยวน หลังจากลูบๆ คลำๆ แผ่นไผ่ที่เหลืออยู่ไม่มากแล้ว เขาก็หยิบไผ่ที่เขียนว่า ‘สาม’ ออกมา
ดูเหมือนเขาจะหันกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ แต่กลับเห็นชายผอมแห้งนิกายวิหคสวรรค์ผู้นั้น กำลังสังเกตดูเขาด้วยสายตาไม่ประสงค์ดี
หลิ่วหมิงย่อมไม่สนใจสายตาของคนผู้นี้ เพียงแค่กวาดสายมองดูทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปอยู่ข้างๆ ซินหยวนด้วยรอยยิ้ม
ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงหัวเราะด้วยความพอใจดังมาจากด้านหลัง
“ฮ่าๆ! ที่แท้ก็เป็นหมายเลขสอง” ในมือของเว่ยจ้งกำลังคีบไผ่ที่มีหมายเลข ‘สอง’ เขียนอยู่ ดูเหมือนเขาจะพอใจกับสิ่งนี้มาก หลังจากหัวเราะออกมาแล้ว ก็มองไปทางเจียหลาน
การกระทำนี้ย่อมตกอยู่ในสายตาของเฟิงจ้าน คิ้วของเขาขมวดขึ้นมา และมีท่าทีอึดอัดเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน ตู๋กูอวี้กลับเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา ในเมื่อพันธมิตรจินอวี้จับฉลากเป็นกลุ่มสุดท้าย ถ้าอย่างนั้นไผ่ที่ว่างเปล่าก็จะต้องเป็นของพวกเขาอย่างแน่นอน และรอบแรกก็จะมีคนเข้ารอบไปโดยปริยาย ซึ่งมันมีประโยชน์มากสำหรับสถานการณ์ในภายหลัง
ผลลัพธ์การจับฉลากในครั้งนี้ ชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีทองผู้นั้นได้หมายเลข ‘หนึ่ง’ ซึ่งเป็นคนที่จะต่อสู้กับซินหยวนเป็นคู่แรก และบัณฑิตชุดคลุมสีทองกลับจับหมายเลข ‘สี่’ ได้ ซึ่งคู่ต่อสู้ก็คือชายฉกรรจ์ผมแดงของนิกายวิหคสวรรค์ผู้นั้น ส่วนไผ่ที่ไม่มีหมายเลขยังไม่ถูกหยิบออกไป แน่นอนว่าต้องเป็นของชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าผู้นั้น
แต่ผลลัพธ์เช่นนี้ กลับทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วขึ้นมา ดูเหมือนเขาจะมีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็เดินกลับไปอยู่ด้านหลังของตู๋กูอวี้โดยไม่กล่าวอะไรออกมา
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ตู๋กูอวี้กลับเผยสีหน้าดีใจออกมา หญิงแซ่เซียวกวาดสายตามองดูชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้า และหัวเราะคิกคัก ดูเหมือนนางจะพอใจกับผลลัพธ์นี้เช่นกัน
“การจับฉลากรอบแรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเดิมพันการต่อสู้อย่างเป็นทางการได้” แม่ชียกแขนเสื้อเก็บบาตรเข้าไป ขณะเดียวกันก็ประกาศออกมา
นักพรตแซ่สือได้ยินก็พยักหน้า และสะบัดแขนเสื้อปล่อยแสงสีเงินออกมาหลายลำทันที
มันคือธงค่ายกลสิบกว่าอันที่ยาวหลายฉื่อ เมื่อมันกระพริบหายไปในจุดศูนย์กลางของหุบเขาเปลวเพลิง ก็มีวงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางสิบกว่าจั้งปรากฏออกมาบางๆ
ขณะเดียวกันเขาก็กระตุ้นพลังเวท จากนั้นธงค่ายกลก็เปล่งแสงสีเงินออกมา และกลายเป็นชั้นจำกัดไร้รูปปกคลุมวงกลมไว้
“วิธีการแพ้ชนะจะพิจารณาจากการต่อสู้ของทั้งสอง แต่ถ้าออกไปจากวงกลมนี้ ก็นับว่าแพ้เช่นกัน หากไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แล้ว ขอเชิญผู้ที่จับหมายเลขหนึ่งได้เข้าไปได้เลย” นักพรตแซ่สือกล่าวออกมาเสียงดัง
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ซินหยวนก็มาปรากฏตัวในค่ายกลอย่างรวดเร็ว กระบองสีดำในมือถูกแบกไว้บนบ่า และจ้องมองชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีทองด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
ชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีทองก็เป็นผู้ฝึกร่างที่น่าเกรงขาม รูปร่างกำยำล่ำสันมาก เส้นเอ็นบนแขนทั้งสองนูนขึ้นมา กล้ามเนื้อบนตัวสั่นระริก ราวกับว่าพลังมหาศาลจะประทุออกมาได้ตลอดเวลา
เมื่อร่างผมแห้งของซินหยวนเปรียบเทียบกับฝ่ายตรงข้ามแล้ว ดูบอบบางกว่ามาก
ชายฉกรรจ์ทำเสียงฮึดฮัดใส่ผู้ที่เข้าไปในค่ายกลก่อน จากนั้นก็เหาะเข้าไปด้านใน และค่อยๆ ร่อนลงตรงหน้าซินหยวน
พอเขาลงมาถึง ก็พลิกมือทั้งสองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แสงสีดำเปล่งประกายบนฝ่ามือ ค้อนยักษ์สีดำสองอันที่ยาวราวๆ ครึ่งจั้งปรากฏขึ้นบนมือ
แสงสีดำรุบหรู่เปล่งประกายบนพื้นผิว และมีลวดลายสีดำปกคลุมอยู่เป็นจำนวนมาก
จากนั้นเขาก็จะโกนออกมา ไอดำพุ่งออกจากตัวทันที ลวดลายบนค้อนยักษ์เปล่งประกาย ไอดำเป็นชั้นๆ ลอยวนออกมา ร่างของเขาเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว สิ่งของบนมือก็ทุบไปทางซินหยวนอย่างรุนแรง
การกระทำนี้เชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก ประจักษ์ชัดว่านี่เป็นวิธีการต่อสู้ที่ชายฉกรรจ์ใช้บ่อย
ค้อนยักษ์ทั้งคู่พร่ามัวในระหว่างทาง ไอดำพวยพุ่ง จากนั้นก็กลายเป็นเงาค้อนยักษ์ขนาดสิบกว่าจั้งที่มีรูปร่างเหมือนเดิมไม่มีผิด และโจมตีออกไปด้วยอานุภาพอันน่าตกใจ
ซินหยวนเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกเย็นสะท้านในใจ กระบองสีดำในมือเปล่งแสงสีดำออกมา แขนทั้งสองขยับตัวเล็กน้อย จากนั้นก็กลายเป็นเงากระบอง
ครู่ต่อมา พอรู้สึกได้ว่ามีพลังมหาศาลทะลักเข้ามา เงาค้อนยักษ์ก็ทุบใส่เงากระบองยักษ์อย่างรุนแรง และส่งเสียงโลหะกระทบกันออกมาหลายครั้ง
ภายใต้การโจมตีติดต่อกันของเงาค้อน ทำให้ซินหยวนร่นถอยออกไปสองสามก้าว จากนั้นถึงทำลายเงาค้อนยักษ์ให้สลายไปได้
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา
เขารู้ถึงความสามารถของซินหยวนดี ลำพังแค่กายเนื้อก็ด้อยกว่าเขาไม่มาก เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าชายฉกรรจ์พรรคพันธมิตรจินอวี้ผู้นี้ จะมีพลังมากถึงเพียงนี้
“ประมุขตู๋กู หลายปีมานี้พันธมิตรท่านมีผู้มีความสามารถเข้ามาไม่น้อย พลังปราณดำของคนผู้นี้ คงจะสำเร็จขั้นแรกไปแล้ว” พอหญิงแซ่เซียวมองเห็นไอดำแปลกประหลาดบนตัวชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีทอง นางก็กล่าวออกมาราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
ที่นางถามเช่นนี้ ก็เป็นเพราะว่าวิชาอย่างพลังปราณดำมีที่มาไม่ธรรมดา ว่ากันว่าเป็นวิชาขั้นสูงในการฝึกร่างเมื่อหลายพันปีก่อนของนิกายมืดทมิฬในแผ่นดินจงเทียน แต่ว่านิกายนี้ได้สล่มสลายไปนานแล้ว วิชาที่เกี่ยวข้องถึงได้เริ่มถ่ายทอดออกมา
“ท่านเซียนชมเกินไปแล้ว พลังปราณดำเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของคัมภีร์ที่พันธมิตรเราค้นพบในสมัยก่อนเท่านั้น ซึ่งมันไม่สมบูรณ์ทั้งหมด พันมิตรเราก็มีแค่ศิษย์จินฮ่วนที่ฝึกวิชานี้ ซึ่งยังห่างจากขั้นสูงมากนัก” ตู๋กูอวี้หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา