ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 455

สรุปบท ตอนที่ 455: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

อ่านสรุป ตอนที่ 455 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 455 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 455 การต่อสู้ของเจียหลาน
ตอนที่ 455 การต่อสู้ของเจียหลาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ครู่ต่อมา ชายฉกรรจ์ที่หมดสติอยู่ก็ถูกศิษย์ของพันธมิตรจินอวี้สองสามคนไปยกตัวออกจากค่ายกล และการต่อสู้ของคู่ที่สองก็เริ่มขึ้น

ทางด้านพรรคฉางเฟิง เฟิงจ้านกล่าวอย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“คิดไม่ถึงว่าสหายซินหยวนจะซ่อนพลังเช่นนี้ ตอนนี้นับว่าพรรคฉางเฟิงได้ชัยชนะไปหนึ่งยกแล้ว”

เว่ยจ้งที่อยู่ด้านข้างได้ยินก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา ใบหน้าดูบูดบึ้งไม่พอใจเล็กน้อย

เฟิงจ้านหัวเราะเฮ่อๆ! แล้วหันหน้ามากล่าว

“แน่นอนอยู่แล้ว คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ายังอยู่ในตอนท้าย อีกสักครู่ยังต้องดูการแสดงความสามารถของคุณชายเว่ยด้วย”

“ผู้อาวุโสเฟิงรอสักครู่ ข้าจะรีบไปรีบมา” เว่ยจ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น จากนั้นก็เหาะเข้าไปในค่ายกล

และห่างออกไปไกล เจียหลานกำลังเดินเข้ามาอย่างช้าๆ และยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา

“การต่อสู้คู่ที่สองเริ่มขึ้นได้!” พอเมี่ยวซินซือไท่เห็นว่าทั้งสองเข้าไปในลานประลองแล้ว นางก็ประกาศออกมา

แม้การต่อสู้จะเริ่มขึ้นแล้ว แต่เว่ยจ้งไม่ได้รีบร้อนลงมือแต่อย่างใด แต่กลับสังเกตดูความงดงามของหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่หวาดกลัว

“คิดไม่ถึงว่านิกายเล็กๆ อย่างวิหคสวรรค์จะมีหญิงสาวงดงามราวกับนางฟ้าเช่นนี้ด้วย! วันนี้ได้พบกับท่านเซียน นับว่าเรามีวาสนาต่อกันไม่เบา! ข้าน้อยเว้ยจ้ง ศิษย์นิกายห้าวิญญาณ ไม่ทราบว่าท่านเซียนพอจะบอกนามของท่านได้หรือไม่ ข้าน้อยจะได้จดจำไว้” เว่ยจ้งกล่าวด้วยสีหน้าเร่าร้อน

เจียหลานจ้องมองชายชุดดำตรงหน้าด้วยแววตาขยะแขยง ส่วนคำพูดของเขา นางก็ทำราวกับไม่ได้ยิน

เจียหลานค่อยๆ ยกมือสวยราวกับหยกขึ้นมาวางไว้บริเวณหน้าอก นิ้วทั้งสิบโค้งงอ ก่อเกิดเป็นท่ามือแปลกประหลาด

ครู่ต่อมา พอกระตุ้นท่ามือ แสงสีม่วงก็เปล่งประกายในดวงตาของเจียหลาน พริบตานั้นอากาศบริเวณที่นิ้วของนางวาดตัวผ่าน ได้ก่อตัวเป็นระลอกคลื่น และกระแผ่กระจายออกไปรอบด้าน

“หญิงนางนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด คุณชายเว่ยต้องระวังให้ดี” เฟิงจ้านรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลได้อยู่ลางๆ วิชาที่หญิงสาวงดงามนิกายวิหคสวรรค์ใช้ดูแปลกประหลาดมาก แม้แต่เขาก็ดูไม่ออกว่ามันคือวิชาอะไร จึงรีบส่งเสียงไปเตือนเว่ยจ้ง

“ท่านเซียนไม่ต้องตื่นเต้น ข้าเป็นผู้ที่มีความเห็นอกเห็นใจหญิงสาว ด้วยความงามระดับท่านเซียน แต่กลับอยู่ในนิกายเล็กๆ ของทะเลหนานไห่ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก หากครั้งนี้ข้าชนะ ท่านเซียนตามข้ากลับแผ่นดินจงเทียนดีหรือไม่ ข้ารับรองว่าจะให้เจ้าเข้านิกายห้าวิญญาณ นับแต่นี้ต่อไปจะมีทรัพยากรการฝึกฝนไม่จำกัด และการเข้าสู่ระดับผลึกก็เป็นเรื่องที่อยู่ไม่ไกลแล้ว” แม้ท่ามือของหญิงสาวตรงหน้าจะแปลกประหลาดมาก แต่เว่ยจ้งกลับค้นพบว่าการฝึกฝนของนางอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลางเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่เห็นด้วยกับคำเตือนของเฟิงจ้าน แต่กลับกล่าวด้วยความตื่นเต้น

เจียหลานได้ยินก็จ้องมองเว่ยจ้งอย่างเยือกเย็น และยังคงไม่สนใจเขาเช่นเดิม มือทั้งสองสั่นสะท้านเบาๆ แสงสีม่วงในดวงตาสว่างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

“เฮ่อๆ! ในเมื่อท่านเซียนไม่พูดอะไรออกมา ข้าก็ถือว่าท่านยอมรับโดยปริยายแล้ว” เว่ยจ้งยิ้มอย่างมีเลศนัย ดูเหมือนเขาจะรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจมาก

และเขายังคงไม่กระตุ้นท่ามือ ดูเหมือนคิดที่จะแสดงน้ำใจของตนเองออกมา

แม้เว่ยจ้งจะหยิ่งผยองไปหน่อย แต่เพราะเขาเป็นศิษย์สาขาของนิกายห้าวิญญาณ ระดับการฝึกฝนก็ไม่ด้อย บวกกับมีอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่ผู้อาวุโสมอบให้ การรับมือกับหญิงสาวระดับของเหลวขั้นกลางย่อมเป็นเรื่องง่าย

เขาเชื่อว่าเพียงแค่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามยอมกลับนิกายห้าวิญญาณพร้อมกับตนเองได้ ย่อมไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด

“วิชาดวงตาละเมอฝัน……ช่างเป็นร่างละเมอฝันที่หาได้ยากยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่านิกายวิหคสวรรค์จะมีศิษย์ที่มีร่างจิตวิญญาณเช่นนี้ด้วย” พอนักพรตแซ่สือเห็นแสงสีม่วงแปลกประหลาดในแววตาของเจียหลาน เขาก็เงียบไปสักพักใหญ่ๆ ทันใดนั้นดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงกล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น

หญิงแซ่เซียวกับประมุขพันธมิตรจินอวี้ได้ยินเช่นนี้ก็ยังคงมีสีหน้าปกติ แต่กลับรู้สึกประหลาดใจมาก

แม่ชีเมี่ยวซินได้ยินนักพรตแซ่สือกล่าวเช่นนี้ นางก็ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด เพียงแค่ยิ้มออกมาเท่านั้น

“คุณชายเว่ย ร่างละเมอฝันนี้สามารถดึงดูดจิตใจผู้คนได้อย่างไร้ร่องรอย ระวังอย่าให้นางครอบงำจิตรับรู้ได้” เฟิงจ้านได้ยินก็ยิ่งรู้สึกตกตะลึง จึงรีบส่งเสียงออกไปอย่างรวดเร็ว

ขณะนี้เว่ยจ้งมีท่าทีเคลิบเคลิ้ม ดวงตาเริ่มเลอะเลือน คิดไม่ถึงว่าตนเองจะถูกแสงสีม่วงของวิชาละเมอฝันดึงดูดจิตรับรู้โดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งได้ยินเสียงเฟิงจ้านดังขึ้นข้างหู ถึงได้สติขึ้นมา

ภายใต้ความตกใจ เขาคิดที่จะสงบจิต แต่กลับรู้สึกว่าจิตในทะเลจิตรับรู้เริ่มเชื่องช้าลง และมีเงาร่างลอยไปลอยมาตรงหน้า ใบหน้าอัปลักษณ์ของเขาเริ่มบิดเบี้ยวขึ้นมา และเริ่มแสดงสีหน้าเจ็บปวดโดยไม่รู้ตัว

เว่ยจ้งรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล เขารีบกระตุ้นพลังจิตด้วยความรีบร้อน เพื่อต่อต้านไม่ให้เงาร่างตรงหน้าบุกเข้าไปในทะเลจิตรับรู้ ส่วนมือของเขาก็รีบหยิบยันต์สีเหลืองจางๆ ออกมาแผ่นหนึ่ง และขยี้จนแหลกละเอียดอย่างไม่ลังเล

พอแสงสีทองจางๆ ม้วนขึ้นมา มันก็หมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศ และจมเข้าไปในศีรษะของเว่ยจ้ง จากนั้นก็กลายเป็นอักขระสีเหลืองจางๆ ตัวหนึ่ง

ภายใต้การเปล่งประกายของอักขระ ทำให้จิตรับรู้ของชายหนุ่มก็ฟื้นฟูมาส่วนหนึ่ง

การกระทำของเขาในครั้งนี้เป็นการกระทำชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งไม่ได้ขับไล่วิชามายาที่บุกเข้าไปในทะเลจิตรับรู้ออกมาจนหมด หากคิดจะหลุดพ้นจากแดนมายานี้ เขาต้องจบศึกให้ไวที่สุด มิเช่นนั้นพอจิตไม่มั่นคง คงต้องจะจมอยู่ในนั้นจนไม่สามารถออกมาได้

เพราะเว่ยจ้งเป็นศิษย์ของนิกายที่มีประวัติมานับหมื่นปี พอคิดถึงจุดนี้ เขาก็อ้าปากพ่นธงเล็กๆ สีแดงออกมาอันหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ขณะเดียวกัน ดาบสั้นสีเขียวที่อยู่ภายใต้การควบคุมของมืออีกข้าง ก็ฟันเข้าหาเจียหลานอย่างต่อเนื่อง

และหงส์เพลิงก็พุ่งเข้าใส่ม่านแสง ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ห่อหุ้มรอบตัว

สีหน้าเจียหลานไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย และยังไม่คิดจะหลบหลีกด้วย แต่กลับร่ายคาถาออกมา นิ้วทั้งสิบเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว ม่านแสงรอบด้านยิ่งเปล่งแสงเจิดจ้ามากขึ้น อักขระสันสฤตห้าสีจำนวนมากลอยออกมาจากในนั้น และลอยวนรอบๆ ดาบสั้นสีเขียวกับหงส์เพลิง

ขณะที่อักขระสันสกฤตเปล่งประกาย แสงสีเขียวที่เปล่งประกายอยู่บนดาบสั้นก็ค่อยๆ ดับลงไป และสูญเสียการควบคุมก่อนตกลงพื้น

และหงส์เพลิงที่กระโจนเข้ามา ก็เริ่มสลายตัวท่ามกลางเสียงร่ายคาถาที่ดังขึ้น และหลังจากส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาแล้ว มันก็กลายเป็นสะเก็ดไฟก่อนที่จะหายไปในอากาศ

“เมี่ยวซินซือไท่ แท้จริงแล้วนางผู้นี้เป็นศิษย์ของอารามชิงสุ่ยล่ะสิ อย่าบอกนะว่าวิชาที่นางแสดงออกมาไม่ใช่วิชาพุทธะของอารามชิงสุ่ย” นักพรตแซ่สือเห็นเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วกล่าวออกมา

หญิงแซ่เซียวกับตู๋กูอวี้สบตากันทีหนึ่ง พวกเขาทั้งสองดูประหลาดใจเล็กน้อย และเฟิงจ้านในขณะนี้กลับมีสีหน้าอึมครึมเป็นอย่างมาก

“ทุกท่านพูดล้อเล่นแล้ว แม้ข้าจะชอบนางผู้นี้จริงๆ แต่นางไม่ใช่ศิษย์ของอารามข้า เพียงแต่นางมีวาสนากับพุทธะเท่านั้น นางเคยมีโอกาสอยู่ในหอเก็บคัมภีร์หลายเดือน คิดว่าความสามารถเหล่านี้คงเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอารามชิงสุ่ยเราแต่อย่างใด คิดว่าชายหนุ่มชุดดำผู้นี้ ก็เข้าร่วมพรรคฉางเฟิงแค่ครึ่งหนึ่งใช่ไหม!” เมี่ยวซินซือไท่พนมมือแล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

คำพูดเช่นนี้ คนอื่นๆ จะเชื่อได้อย่างไร

แต่แม่ชีปฏิเสธอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถหาหลักฐานใดๆ มายืนยันได้ จึงได้แต่ปิดปากเงียบ และให้เรื่องนี้มันแล้วกันไป

ในสายตาหลิ่วหมิง พลังของเจียหลานย่อมแตกต่างจากแต่ก่อนราวฟ้ากับดิน ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย

ในระหว่างนั้น มีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงขึ้นในค่ายกล

ไม่รู้ว่าลูกประคำสีทองในมือเจียหลานไปปรากฏอยู่บนศีรษะเว่ยจ้งตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว มันก็เปล่งแสงห้าสีออกมา และขยายใหญ่จนมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยาวหลายจั้ง และล้อมตัวเขาไว้

ภายใต้ความตกใจ เว่ยจ้งพยายามโบกสะบัดธงสีแดงอย่างสุดฤทธิ์ จนก่อเกิดเป็นดาบอัคคีจำนวนมาก เพื่อคิดที่จะทำลายลูกประคำให้ได้ แต่พอดาบอัคคีสัมผัสกับแสงห้าสี มันก็จมเข้าไปในนั้นอย่างไร้สุ้มเสียง ซึ่งไม่สามารถสร้างการสั่นสะเทือนใดๆ ได้

…………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา