ชายผอมสูงรีบเอาพัดมาต้านทานไว้บริเวณหน้าอก ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา แสงสีเขียวจำนวนมากพุ่งยิงออกจากพัดขนนก และเกาะตัวเป็นโล่สีเขียวมาบังอยู่ตรงหน้า
ชายร่างผอมสูงเพิ่งจะแสดงวิชาเสร็จ ก็เห็นกำปั้นที่มีไอดำลอยวนโจมตีลงบนโล่แสงสีเขียว ทันใดนั้นพลังมหาศาลบางอย่างก็ทะลักออกมา
“เพล้ง!” โล่แสงสีเขียวแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
และแขนข้างที่จับพัดขนนกอยู่ ก็ถูกพลังมหาศาลแฉลบผ่านไปจนทำให้บิดเบี้ยวเป็นรูปร่างแปลกๆ ไม่รู้ว่ากระดูกที่อยู่ข้างในจะหักไปแล้วกี่ท่อน ส่วนพัดขนนกก็กระเด็นออกไป
ยังไม่ทันที่ชายผอมสูงจะดึงสติกลับมาได้ กำปั้นที่มีไอดำลอยวนก็พุ่งเข้ามาถึง
ในขณะที่ชายผอมสูงรู้สึกหวาดกลัวนั้นปราณแกร่งคุ้มร่างสีเขียวก็พุ่งออกมา พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปทั่วร่าง แต่สำหรับกำปั้นของหลิ่วหมิงแล้ว สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นเหมือนแค่กระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้น หลังจากมีเสียงอู้อี้ดังขึ้นมา ร่างของเขาก็ถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปสิบกว่าจั้ง และตกลงบนพื้นราวกับดินเลนที่เฉอะแฉะ จากนั้นก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก
ตั้งแต่ตอนที่ชายผอมสูงหยิบพัดขนนกและปล่อยเงาร่างออกมา จนถึงตอนที่ถูกหลิ่วหมิงโจมตีจนกระเด็นออกไปนั้น ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น
พริบตาเดียวก็ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว!
พลังอันน่าตกใจที่หลิ่วหมิงแสดงออกมา ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ที่รับชมอยู่รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างเท่านั้น แม้แต่แม่ชีชุดดำกับหญิงแซ่เซียวก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา
เฟิงจ้านก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
“เจ้าเด็กนี่รวดเร็วมาก ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิชามายาของนิกายวิหคสรรค์เท่านั้น แต่กำปั้นสองลูกในเมื่อครู่ ยังแฝงพลังอันน่ากลัวที่มีน้ำหนักหลายหมื่นชั่งอยู่ด้วย คิดไม่ถึงว่าในมือของพี่เฟิง จะยังมีผู้ที่มีพลังระดับนี้อยู่ด้วย” นักพรตแซ่สือมองเฟิงจ้านทีหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยคำที่แฝงความหมายอันลึกซึ้ง
เฟิงจ้านได้ยินก็ยิ้มแห้งๆ และไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“การต่อสู้ครั้งที่สาม พรรคฉางเฟิงชนะ” แม่ชีชุดดำประกาศออกมาหลังเรียกสติกลับมาได้
ประมุขนิกายวิหคสวรรค์จ้องมองหลิ่วหมิงที่อยู่ในค่ายกลด้วยสีหน้าอึมครึม หลังจากโบกมือและออกคำสั่งไปสองสามประโยคแล้ว ก็มีศิษย์สองคนไปยกร่างชายผอมสูงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสออกมา
หลังจากชายจมูกเหยี่ยวใช้จิตกวาดดูศิษย์คนนี้แล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่หลายรอบ
ดูเหมือนกระดูกของศิษย์ตรงหน้าจะหักเกือบหมด และกระดูกบริเวณหน้าอกกับแขนขวาสาหัสยิ่งกว่า
หยวนจุ้ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบโอสถให้ชายผอมสูงทานไปหลายเม็ด และถือโอกาสปล่อยพลังไปกระตุ้นฤทธิ์ของโอสถ จนสามารถระงับอาการบาดเจ็บได้ชั่วคราว
“สหายหลิ่วไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญสายกระบี่เท่านั้น แต่พลังของกายเนื้อก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าจะฝึกฝนควบคู่ทั้งร่างฝึกและกระบี่” พอเฟิงจ้านเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา เขาก็เดินออกไปรับด้วยรอยยิ้ม
“ท่านประมุขชมเกินไปแล้ว ข้าเพียงแค่โชคดีเอาชนะได้เท่านั้น” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างถ่อมตน
ขณะนี้ นักพรตแซ่สือที่อยู่ไม่ไกลกำลังยืนฟั่นหนวดสังเกตดูหลิ่วหมิง ดวงตาของเขาฉายแววฉงนเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังนึกอะไรอยู่
“พี่หลิ่วลงมือได้ไม่ธรรมดา ดูท่าเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้คงต้องพึ่งพวกเราทั้งสองแล้ว” ซินหยวนหัวเราะแล้วกล่าวออกมา และเหลือบตามองดูมองดูชายหนุ่มชุดดำที่ยังคงหมดสติอยู่
“นี่เป็นเพราะว่าคนนิกายวิหคสวรรค์ผู้นั้นดูเบาศัตรูไปหน่อย ข้าถึงมองวิชาของเขาออก” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ
ต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ ภายในกลุ่มอิทธิพลทั้งสาม นิกายวิหคสวรรค์มีผู้ชนะหนึ่งคน ส่วนพรรคฉางเฟิงแม้ว่าเว่ยจ้งจะพ่ายแพ้อย่างคาดไม่ถึง แต่หลิ่วหมิงกับซินหยวนกลับชนะติดต่อกัน ขณะนี้จึงมีแค่พันธมิตรจินอวี้เท่านั้นที่ยังไม่มีผู้ชนะ
ไม่นาน การต่อสู้คู่ที่สี่ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างพันธมิตรจินอวี้กับนิกายวิหคสวรรค์ก็เริ่มขึ้นหลังจากที่แม่ชีชุดดำประกาศออกมา
ผู้ที่ออกไปต่อสู้ของฝั่งพันธมิตรจินอวี้ ก็คือบัณฑิตชุดคลุมสีทองที่มีรูปร่างผอมบางผู้นั้น ส่วนนิกายวิหคสวรรค์ก็เป็นชายฉกรรจ์ผมแดงผู้นั้น
พอทั้งสองเหยียบเท้าเข้าไปในค่ายกลแล้ว ก็ไม่พูดจาอะไรให้มากความอีก ต่างคนต่างหยิบอาวุธจิตวิญญาณออกมาตั้งท่าไว้
ที่เหนือความคาดหมายก็คือ อาวุธจิตวิญญาณที่บัณฑิตชุดคลุมสีทองใช้นั้น เป็นพู่กันหยกขาว และชายฉกรรจ์ผมแดงก็ใช้พู่กันไผ่เขียว
“ทั้งสองมีระดับการฝึกฝนเทียบเท่ากัน อาวุธจิตวิญญาณก็คล้ายกัน ต้องดูว่าพลังเวทของใครจะหนาแน่นกว่ากันแล้ว” นักพรตแซ่สือเอ่ยปากออกมา จากนั้นก็หลับตาทั้งคู่ลง ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
ท่ามกลางค่ายกล ชายฉกรรจ์ผมแดงได้ลงมือก่อน พู่กันไผ่ในมือโบกสะบัดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นร่ายคาถาออกมา
พอเขาวาดพู่กันไผ่ผ่านอากาศตรงหน้า มันก็ก่อตัวเป็นรูปนกนางแอ่นสีดำที่ดูมีชีวิตชีวาราวกับของจริง หลังจากปล่อยพลังใส่อีกครั้ง เงานกนางแอ่นแต่ละตัวก็พุ่งออกจากภาพในทันที และพุ่งเข้าหาบัณฑิตชุดคลุมสีทองท่ามกลางเสียงที่ดังก้อง
บัณฑิตชุดคลุมสีทองเห็นเช่นนี้ ก็ไม่ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย แต่กลับร่ายคาถาออกมา พอโบกสะบัดพู่กันหยกในมือ ก็มีรูปภาพปรากฏขึ้นมากลางอากาศเช่นกัน
พอแสงสีทองเปล่งประกาย ดอกบัวสีทองแต่ละดอกก็ปรากฏตรงหน้า และพอชี้พู่กันหยกออกไป มันก็หมุนวนอย่างรวดเร็ว
“เปรี๊ยะๆ!”
นกนางแอ่นสีดำโจมตีดอกบัวสีทองติดต่อกัน ทันใดนั้น มันก็ระเบิดออกมาเป็นกลุ่มแสงสีดำในทันที
ขณะที่แสงสีทองกับแสงสีดำเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งนั้น ดอกบัวสีทองก็ส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะ!” จากนั้นก็กลายเป็นจุดแสงสีทองก่อนหายไปในอากาศ
บัณฑิตชุดคลุมสีทองยังคงมีสีหน้าไม่เปลี่ยน พอโบกสะบัดพู่กันหยก ดอกบัวสีทองก็ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง และเขายังคงร่ายคาถาอย่างต่อเนื่อง พู่กันหยกสั่นสะท้านจนกลายเป็นเงา ดอกบัวสีทองล้อมรอบตัวเขาไว้อย่างแน่นหนา
นกนางแอ่นสีดำตรงหน้าก็โจมตีติดต่อกันราวกับไม่มีวันหมด ทั้งสองต่อสู้กันอุตลุดจนดูไม่ออกว่าใครได้เปรียบกว่ากัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา