หลิ่วหมิงตามนางไปติดๆ
“ศิษย์น้องหลิ่วรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าไปจะแจ้งท่านย่า” หลงเหยียนเฟยเรียกให้หลิ่วหมิงนั่งลง จากนั้นก็เดินไปส่วนหลังของกระท่อม
หลิ่วหมิงพยักหน้าตอบรับ พอเขากวาดสายตาดู ก็ค้นพบว่าบ้านหลังนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก กว้างราวๆ ห้าหกจั้งเท่านั้น แม้ภายในห้องจะตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่โต๊ะเก้าอี้และสิ่งของอื่นๆ กลับมีครบครัน ดูเหมือนห้องรับแขกเลยทีเดียว
และรูปโบราณที่แขวนอยู่บนกำแพงด้านหนึ่ง ดึงดูดความสนใจของเขาขึ้นมา
ในรูปเป็นชายหนุ่มที่มีลักษณะท่าทางองอาจห้าวหาญ สวมชุดนักพรตสีดำ บนหลังมีกระบี่ยาวไร้ฝักอยู่เล่มหนึ่ง ไอดำลอยวนรอบตัว ระหว่างคิ้วดูฮึกเหิมดุเดือดรุนแรง ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกถูกกดขี่อยู่ลางๆ
“อะแฮ่ม!”
เสียงกระแอมไอเบาๆ ขัดจังหวะการจ้องมองของหลิ่วหมิง หลงเหยียนเฟยผลักรถเข็นที่มีหญิงวัยกลางคนนั่งอยู่เข้ามาด้านใน
“ท่านย่า ผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิง ศิษย์ของท่านปู่เทียดลิ่วยิน” หลงเหยียนเฟยพูดคุยกับหญิงวัยกลางคนเบาๆ
“ข้าน้อยหลิ่วหมิง คารวะผู้อาวุโส” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบลุกขึ้นมา และประสานมือคารวะหญิงวัยกลางคนอย่างนอบน้อม
พอเขาปราดตามอง ก็ค้นพบว่าท่านย่าที่หลงเหยียนเฟยกล่าวถึง เป็นหญิงที่มีเสน่ห์เป็นพิเศษ เพียงแต่กระโปรงยาวข้างใต้ล้วนว่างเปล่า ไร้ซึ่งขาทั้งสองข้าง และดูจากกลิ่นไอที่ไม่ปิดบังแล้ว ทำให้รู้ว่าเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกท่านหนึ่ง
“เฟยเอ๋อร์ ไปชงชาให้แขกกาหนึ่ง” หญิงผู้นี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม และแสดงท่าทีให้หลิ่วหมิงนั่งลง จากนั้นก็หันไปสั่งหลงเหยียนเฟย
หลงเหยียนเฟยได้ยินก็หมุนตัวเดินเข้าไปด้านใน
“ศิษย์หลานหลิ่ว ตอนนั้นปู่เทียดลิ่วยินของข้า ถูกม้วนเข้าไปในพายุกระหน่ำโดยไม่คาดคิด ตามที่เจ้าเล่ามาในก่อนหน้านั้น ดูเหมือนว่าจะล่องลอยไปยังสถานที่ที่มีชื่อว่าแผ่นดินอวิ๋นชวน และก่อตั้งนิกายปีศาจขึ้นมา สามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่า ท่านปู่เทียดรับเจ้าเป็นศิษย์ได้อย่างไร?” หญิงผู้นี้สอบถามอย่างราบเรียบ
“เรียนผู้อาวุโส ในปีนั้นปรมาจารย์ลิ่วยินได้ก่อตั้งนิกายปีศาจขึ้นมาจริงๆ แต่ตอนที่ข้าเข้านิกายนั้น ปรมาจารย์ท่านได้ไปสู่แดนสวรรค์หลายร้อยปีแล้ว และผู้น้อยก็รู้เรื่องราวเกี่ยวกับปรมาจารย์จากอาจารย์ และประมุขนิกายเพียงเล็กน้อย” หลิ่วหมิงตอบตามตรง
“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่า เจ้าแค่ถวายตัวเป็นศิษย์นิกายปีศาจเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเจ้าได้เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมาได้อย่างไร? หรือว่าผู้สืบทอดของเขาถ่ายทอดให้กับเจ้า?” พอนางได้ยินเช่นนี้ ก็ยังคงถามด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ดวงตากลับเผยแววประหลาดใจออกมา
“ปรมาจารย์ลิ่วยินไม่ได้ถ่ายทอดวิชาใดๆ ของนิกายยอดบริสุทธิ์ให้กับคนรุ่นหลัง และกลับเปลี่ยนความรู้ของท่านให้เป็นกำแพงเก็บเงาก้อนหนึ่ง ให้คนรุ่นหลังไปศึกษา และทิ้งจิตส่วนหนึ่งไว้ เนื่องจากตอนนั้นพลังของกำแพงเก็บเงาเหลืออยู่ไม่มาก และอาจสูญสิ้นพลังได้ตลอดเวลา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ปรมาจารย์ลิ่วยินจึงมอบเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬให้ผู้น้อย และบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนิกายยอดบริสุทธิ์ให้เล็กน้อย หวังว่าหากผู้น้อยมีโอกาส จะได้นำข่าวกลับมายังนิกายของท่าน” หลิ่วหมิงค่อยๆ บอกหญิงตรงหน้า แต่กลับไม่เอ่ยถึงตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่ง
ขณะนี้ หลงเหยียนเฟยก็ยกชาเข้ามา
“ศิษย์น้องหลิ่ว เชิญดื่มชา ชาจิตวิญญาณนี้ข้าปลูกเองกับมือ มีผลต่อความบริสุทธิ์ของพลังเวทยิ่งนัก” ขณะที่พูด หลงเหยียนเฟยก็วางถ้วยชาไว้บนโต๊ะที่อยู่ข้างตัวหลิ่วหมิง จากนั้นก็กลับไปยืนอยู่ด้านหลังของหญิงวัยกลางคน
“ขอบคุณศิษย์พี่หลง” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างเกรงใจ หลังจากเปิดฝาจิบไปหนึ่งที ชาที่มีกลิ่นหอมจรุงใจก็ไหลผ่านลำคอ ทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
“ศิษย์หลานหลิ่ว ขณะที่เจ้าติดต่อกับจิตรับรู้ของบรรพบุรุษข้านั้น ท่านได้พูดถึงจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่หรือไม่? หรือว่านิกายปีศาจของพวกเจ้ามีเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?” ดวงตาของหญิงวัยกลางคนเปล่งประกายในขณะที่สอบถามเกี่ยวกับจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกเย็นสะท้านในใจ แต่ก็รีบปฏิเสธด้วยสีหน้าปกติ
“ปรมาจารย์ลิ่วยินไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้”
พอนางได้ยินคำตอบของหลิ่วหมิง ดวงตางดงามก็กลอกไปมาทีหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงแต่อย่างใด เพียงแค่สอบถามเรื่องราวอื่นๆ ของปู่เทียดลิ่วยินกับหลิ่วหมิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
หลายชั่วยามผ่านไป นางก็ให้หลงเหยียนเฟยส่งหลิ่วหมิงออกไปจากหุบเขา
……
“เฟยเอ๋อร์ หลิ่วหมิงผู้นั้นไปแล้วหรือ?” หญิงวัยกลางคนจ้องมองภาพบนผนังราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ ขณะที่หลงเหยียนเฟยก้าวเท้าเข้ามาในห้อง นางก็เอ่ยปากถามออกมา
“เรียนท่านย่า ข้าส่งเขาออกนอกหุบเขา และรอจนมั่นใจว่าเขาไปแล้ว ข้าถึงกลับมา” หลงเหยียนเฟยตอบอย่างนอบน้อม
“ตอนที่ย่าเทียดละสังขารในปีนั้น ได้ทิ้งคำพูดไว้ว่า ก่อนปู่เทียดจะหายตัวไปก็ได้เริ่มหลอมตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งแล้ว อีกอย่างเส้นทางที่ท่านฝึกฝนในตอนนั้น ก็ไม่ใช่สายกระบี่ ดังนั้นจึงแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ท่านได้เตรียมจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่นี้ไว้ให้คนรุ่นหลัง ตนเองจะไม่นำมาใช้เด็ดขาด ในเมื่อหลิ่วหมิงผู้นี้ได้พบกับจิตรับรู้ที่ปู่เทียดลิ่วยินทิ้งไว้ และปู่เทียดยังมอบเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬให้กับเขา ทั้งยังให้เขามาที่นิกายยอดบริสุทธิ์ แล้วทำไมจะไม่พูดถึงเรื่องสำคัญอย่างจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่นี้ล่ะ” หญิงวัยกลางคนขมวดคิ้ว และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งครึม
“ท่านย่า เมื่อครู่ข้าได้สังเกตดูหลิ่วหมิงในตอนที่ตอบคำถาม สีหน้าของเขาดูสงบมาก ดูไม่เหมือนคนที่พูดปดเลยแม้แต่น้อย” หลงเหยียนเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วตอบกลับไป
“ก็เพราะเขาดูสงบจนเกินไป ข้าถึงเกิดความสงสัย เฟยเอ๋อร์ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องหาวิธีเข้าใกล้หลิ่วหมิงให้มาก ลองดูว่าจะหาเบาะแสของจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เจอหรือไม่” หญิงวัยกลางคนออกคำสั่ง
“ทราบ! เฟยเอ๋อร์รู้แล้ว” หลงเหยียนเฟยได้ยินก็รีบตอบรับทันที
……
ขณะนี้ หลิ่วหมิงกำลังขี่เมฆกลับไปยังถ้ำที่พัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา