หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา แววตาของเขาเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด และสีหน้าก็เต็มไปด้วยความลังเล
แม้ตนเองจะฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สองสำเร็จแล้ว แต่ดูเหมือนว่ายังอยู่ห่างจากระดับของเหลวขั้นปลายเล็กน้อย
หลังจากนั้นอีกหลายวัน หลิ่วหมิงก็ไม่ได้รีบร้อนออกไปจากถ้ำ แต่กลับทำเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สองให้มั่นคง และถือโอกาสเสาะหาวิธีทะลุคอขวด
แต่ในขณะที่เขากำลังฝึกวิชานั้น ป้ายนิกายที่อยู่ในแขนเสื้อ ก็พลันเปล่งประกายไม่หยุด
พอเขาหยิบมันออกมา และใส่พลังเวทเข้าไปเล็กน้อย แสงสีเขียวก็กระพริบผ่านไป จากนั้นก็มีน้ำเสียงราบเรียบดังออกมา
“ศิษย์สายนอกที่ได้ข้อความนี้ ให้มารวมตัวกันในวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้า”
แม้ไม่รู้ว่าทำไมครั้งนี้ถึงเรียกชุมนุมอย่างเร่งด่วน แต่ในเมื่อไม่ได้เรียกเขาแค่คนเดียว คิดว่าจะต้องมีเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน
หลิ่วหมิงยกแขนเสื้อขึ้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากเก็บขวดโอสถที่วางอยู่พื้นแล้ว ก็เดินออกจากถ้ำที่พัก และทะยานไปทางวิหารใหญ่
ครึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงก็มาถึงด้านในของวิหารใหญ่ ภายในวิหารขณะนี้ มีศิษย์สายนอกสามสิบคนรวมตัวกันจอแจ
ศิษย์สายนอกเหล่านี้ล้วนอายุยังน้อย อายุน้อยสุดก็สิบห้าสิบหกปี มากสุดก็ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ดูจากกลิ่นไอที่แผ่ออกมาแล้ว ดูเหมือนจะมีตั้งแต่ระดับของเหลวขั้นต้นจนถึงขั้นปลาย
บ้างก็กำลังกระซิบกระซาบกัน บ้างก็สังเกตดูรอบด้านอยู่ไม่หยุด และส่วนมากก็นั่งขัดสามาธิหลับตาพักผ่อนอยู่
และรองหัวหน้าสาขา เหลียงจ้านเกอ ที่หลิ่วหมิงเจอในตอนมารายงานตัว ก็ยืนเก็บมืออยู่ข้างเก้าอี้หลักด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เดินเข้าไปท่ามกลางฝูงชน และหาที่พื้นที่ว่างนั่งขัดสมาธิรอคอยอย่างเงียบๆ
เวลาต่อมา มีศิษย์สายนอกทยอยเข้ามาสิบกว่าคน และแทรกซึมเข้าไปฝูงชนอย่างเงียบๆ
ไม่นาน ภายในวิหารใหญ่ก็มีคนราวๆ สี่สิบกว่าคนแล้ว ด้วยเหตุที่รองหัวหน้าสาขาอย่างเหลียงจ้านเกอยังไม่ได้กล่าวอะไรออกมา พวกเขาจึงได้แต่รอต่อไป
ในนั้นย่อมมีเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นด้วย
พอทั้งสองเห็นหลิ่วหมิง ก็ก้มศีรษะให้จากที่ไกลๆ
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป แสงหลบหลีกสีเทาลำหนึ่ง ก็พุ่งเข้ามานอกวิหารใหญ่ พอลำแสงดับลง ก็เผยให้เห็นถึงผู้อาวุโสสวมชุดผ้าป่านสีเทาผู้หนึ่ง
“หัวหน้าเจียง” พอรองหัวหน้าสาขาที่เงียบมาโดยตลอดอย่างเหลียงจ้านเกอเห็นผู้อาวุโสเดินเข้ามา เขาก็รีบประสานมือคารวะจากที่ไกลๆ
“หัวหน้าสาขา?”
พอคำพูดนี้ดังออกมา ศิษย์สายนอกที่กระซิบกระซาบกันอยู่ก็เงียบลงทันที และผู้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็พากันยืนขึ้น พวกเขาต่างก็มองไปที่หัวหน้าสาขาที่มาปรากฏตัวกระทันหันผู้นี้
หลิ่วหมิงเองก็ลืมตาแล้วลุกขึ้นมา เขามองตามสายตาของคนอื่นๆ และสังเกตดูหัวหน้าสาขาที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
แต่ดูเหมือนคนผู้นี้จะมีอายุหกสิบกว่าปี ใต้คางมีเคราแพะที่ยาวสามสี่ชุ่น แต่ใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง ดูฉลาดเฉียบแหลมมาก
ภายใต้การจ้องมองของฝูงชน ผู้อาวุโสก็เดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้หลักอย่างช้าๆ
“ทุกท่าน ข้าเจียงจ้ง เป็นหัวหน้าสาขาห่านฟ้า เนื่องจากหลายปีมานี้มีเรื่องยุ่งเล็กน้อย จึงไม่ค่อยได้ดูแลสาขาห่านฟ้าเท่าไหร่ พวกเจ้าต่างก็เป็นศิษย์ที่เข้ามาในช่วงสามปีนี้ ดังนั้นจึงมีไม่กี่คนที่เคยเห็นข้า” ผู้อาวุโสฟั่นหนวดแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ย่อมรีบก้าวไปคารวะ หลังจากผู้อาวุโสโบกมือแล้ว ก็บอกเหตุผลที่เรียกมาชุมนุมครั้งนี้
“ที่เรียกทุกท่านมาชุมนุมในครั้งนี้ ก็เพราะเรื่องงานประลองเล็กที่ใกล้จะมาถึง ตามกฎแล้วศิษย์สายนอกที่เข้ามาใหม่ จะต้องเข้าร่วมทดสอบเบื้องต้นที่สาขาทั้งแปดของเราจัดขึ้น หลังจากผ่านแล้วถึงมีคุณสมบัติเข้าร่วมการประลองเล็กที่สามปีจัดขึ้นหนึ่งครั้งกับการประลองใหญ่ที่สิบปีจัดขึ้นหนึ่งครั้งได้ และจะได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากศิษย์สายนอกคนอื่นๆ”
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา เมื่อกวาดสายตามองดูศิษย์สายนอกคนอื่นๆ ก็ค้นพบว่านอกจากมีไม่กี่คนที่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาแล้ว คนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าสงบ ประจักษ์ชัดว่ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา