ที่แท้เผ่าเจ้าสมุทรกับเผ่าอื่นๆ ที่พบเจอในเขตทะเลชังไห่ในก่อนหน้านั้น แม้ดูๆ แล้วจะเป็นต่างเผ่า แต่ก็นับว่าเป็นกิ่งก้านสาขาของมนุษย์ ส่วนราชาปีศาจสมุทรและเผ่าปีศาจอื่นๆ ถึงนับว่าเป็นต่างเผ่าที่แท้จริง
ส่วนเจียหลานมีสายเลือดเผ่าเจ้าสมุทรครึ่งหนึ่ง แต่ยังคงกลายเป็นศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์ได้อย่างราบรื่น คิดว่าคงเป็นเพราะสาเหตุนี้
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงก็ไม่ได้พูดอะไรกับทั้งสองมาก เพียงแค่พูดจาอย่างสุภาพไม่กี่ประโยคแล้ว ก็กล่าวคำอำลาก่อนจากไป
เนื่องจากก่อนหน้านั้น เขาเก็บตัวฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมาโดยตลอด โอสถกับยันต์จึงหมดไปพอประมาณ เพื่อการทดสอบเบื้องต้นในอีกสามวันให้หลัง เขายังคงต้องไปตลาดในนิกายสักครั้ง
……
สามวันต่อมา ภายในวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้า ศิษย์ที่ยินยอมเข้าร่วมการทดสอบต่างก็มารวมตัวกันที่นี่
กลุ่มคนเหล่านี้ บ้างก็มีอาการคันไม้คันมืออยากจะลองดู ราวกับมีความมั่นใจต่อการทดสอบที่จะมาถึงเป็นอย่างมาก บ้างก็พูดคุยเล่นกับคนที่อยู่ด้านข้าง บ้างก็มีสีหน้าเคร่งเครียด เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างตื่นเต้นมาก
หลิ่วหมิงก็มาถึงวิหารใหญ่ตั้งนานแล้ว ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน และกำลังพูดคุยกับเยี่ยนหมิงและเสวี่ยอวิ๋น เพื่อสอบถามสถานการณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับแดนอบอ้าว
ขณะนั้นเอง มีเสียงมีเท้าที่ดูมั่นคงดังออกมาจากด้านใน เจียงจ้ง หัวหน้าสาขาเดินออกมา และกวาดสายตามองดูผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้น
“คารวะหัวหน้าสาขา” ศิษย์สายนอกที่เข้ามาใหม่เหล่านี้ย่อมไม่กล้าชักช้าแต่อย่างใด พวกเขาพากันทำความเคารพร้อมกัน
“เอาล่ะ! ได้เวลาพอประมาณแล้ว คนที่ไม่มาถือว่าสละสิทธิ์ ไปกันเถอะ!” เว่ยจ้งไม่พูดจาไร้สาระอีก พอโบกแขนเสื้อ หมอกควันสีเหลืองจางๆ ก็ทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง และปกคลุมศิษย์เหล่านี้ไว้
พริบตาเดียว กลุ่มเมฆสีเหลืองก็เหาะออกไปจากสาขาห่านฟ้า ผ่านยอดเขาสองสามลูก และพุ่งไปยังส่วนลึกของเขาหมื่นวิญญาณ
หนึ่งชั่วยามผ่านไป เจียงจ้งก็พาฝูงชนมาถึงเหนือยอดเขาเร้นลับแห่งหนึ่ง อากาศตรงหน้ามีชั้นจำกัดสีม่วงจางๆ ปกคลุมอยู่
เจียงจ้งปล่อยพลังแหวกมุมหนึ่งของชั้นจำกัดออก จากนั้นเมฆยักษ์ก็กระพริบเข้าไปด้านใน
หลิ่วหมิงรู้สึกว่ามีแสงสีม่วงกระพริบตรงหน้า จากนั้นอากาศตรงหน้าก็พร่ามัวขึ้นมา และสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาก็เป็นยอดเขาที่ดูธรรมดาๆ ลูกหนึ่ง
ผ่านไปไม่นาน ก้อนเมฆสีเหลืองก็ร่อนลงบนลานราบเรียบที่อยู่บนยอดเขา ขณะนี้เขาถึงเห็นว่ามีวิหารสีดำหลังหนึ่งตั้งอยู่บนพื้นกว้างโล่ง
ดูจากภายนอกวิหารมีกลิ่นอายโบราณ ไม่มีแผ่นป้ายเลยสักแผ่น เห็นได้ชัดว่าลึกลับมาก และประตูวิหารก็ปิดสนิท ไม่มีคนยืนตรงประตูแม้แต่คนเดียว
ผู้อาวุโสชุดเทารอจนทุกคนลงไปหมดแล้ว เขาถึงยกแขนเก็บเมฆสีเหลืองเข้าไป จากนั้นก็เดินไปหน้าประตูไม้ และหยิบแผ่นหยกโบกไปยังประตู
ประตูวิหารสีดำเปิดออกมาท่ามกลางเสียงดังโครมคราม
ผู้อาวุโสเดินเข้าไปด้านใน
ฝูงชนสบตากันทีหนึ่ง และเดินตามผู้อาวุโสเข้าไป
หลังจากเดินตามระเบียงทางเดินไปได้ไม่นาน ตรงหน้าก็ดูโล่งขึ้นมาในฉับพลัน ห้องโถงขนาดกว้างยาวหลายสิบจั้งปรากฏขึ้นมา
ใจกลางห้องโถงเป็นค่ายกลขนาดมหึมา และมีอักขระซับซ้อนหลากสีประทับอยู่บนนั้นเป็นจำนวนมาก มันปกคลุมพื้นที่สิบกว่าจั้ง
รอบด้านค่ายกลยังมีแท่นสูงที่ดูคล้ายกันแปดแท่นล้อมรอบไว้แปดทิศทาง
และรอบๆ แท่นสูงทั้งเจ็ดแท่น ก็มีศิษย์สายนอกหลายสิบคนรวมตัวกันอยู่ ประจักษ์ชัดว่าเป็นศิษย์ใหม่ของทั้งเจ็ดสาขา
ภายใต้การใช้จิตกวาดดูของหลิ่วหมิง เขาค้นพบว่าศิษย์เหล่านี้ ดูเหมือนจะอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลางเป็นส่วนมาก ขั้นปลายนั้นมีอยู่น้อย ส่วนศิษย์ใหม่ที่อยู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณ คิดว่าคงเป็นเพราะระดับการฝึกฝนค่อนข้างต่ำ บวกกับไม่เข้าร่วมประลองเล็กที่สามปีมีครั้ง จึงละทิ้งการทดสอบในครั้งนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลิ่วหมิงยังคงค้นพบศิษย์จิตวิญญาณเจ็ดแปดคนอยู่ในฝูงชน สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เขากวาดสายตามองศิษย์สาขาต่างๆ อยู่รอบหนึ่ง ไม่นานก็ถูกคนเจ็ดคนที่ยืนอยู่บริเวณค่ายกลดึงดูดความสนใจของเขาในทันที
คนเหล่านี้คงเป็นหัวหน้าสาขาของสาขาทั้งเจ็ดแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา