พอหลิ่วหมิงปรากฏอยู่ไกลๆ จั้งเสวียนก็มองเข้ามาด้วยสายตาที่เยือกเย็น หลังจากเห็นว่าเป็นหลิ่วหมิง เขาถึงละสายตากลับมา
แต่ชายหนุ่มชุดขาวกลับลืมตาในฉับพลัน หลังจากมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้ว ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“ศิษย์น้องก็กลับมาที่นี่ด้วย คงถูกอสูรเพลิงกลุ่มใหญ่ที่อัคคีจิตวิญญาณควบคุมลอบโจมตีใช่หรือไม่?”
“ไม่ผิด! ศิษย์พี่ทั้งสองก็เป็นเช่นนี้ล่ะสิ?” หลิ่วหมิงค่อยๆ ก้าวเข้ามา และพยักหน้าตอบรับ
จั้งเสวียนได้ยินหลิ่วหมิงกล่าวเช่นนี้ เขาก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วและไม่กล่าวอะไรออกมา
ชายหนุ่มชุดขาวถอนหายใจยาวๆ และค่อยๆ เล่าเหตุการณ์ที่เผชิญในครึ่งวันมานี้ออกมา
ที่แท้เขาออกเดินทางร่วมกับคนอีกสองคน ตอนแรกก็เริ่มสังหารอสูรเพลิงระดับต่ำจำนวนหนึ่งติดต่อกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมามาก จึงคิดที่จะเข้าไปในส่วนที่อยู่ลึกเข้าไป
แต่ขณะที่ผ่านพื้นที่รกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่ง ทั้งสามก็ถูกอสูรเพลิงปิดล้อมอย่างกระทันหัน แต่เนื่องจากอสูรเพลิงเหล่านี้มีระดับการฝึกฝนไม่สูง ทั้งสามจึงไม่คิดจะหนีไปในทันที แต่กลับอยากจะเก็บวัสดุของอสูรเพลิงให้มาก จึงเริ่มต่อสู้กับมันอย่างดุเดือด
สุดท้าย ในขณะที่ทั้งสามเห็นว่าสังหารฝูงอสูรไปได้พอประมาณ และร่างกายก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปมากนั้น พลันมีอัคคีจิตวิญญาณปรากฏออกมาพร้อมกันหลายตัว และลอบโจมตีเพื่อนร่วมทางอีกสองคนจนเสียชีวิต หากไม่ใช่ว่าจั้งเสวียนผ่านมาบริเวณนั้นพอดี และแสดงฝีมือจนอัคคีจิตวิญญาณหนีไปด้วยความตกใจล่ะก็ เกรงว่าครั้งนี้คงไม่อาจโชคดีรอดพ้นมาได้
“ตลอดทางข้าก็เจอเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกัน มักจะถูกอัคคีจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งลอบโจมตีติดๆ กัน อัคคีจิตวิญญาณที่เดิมทีไม่ปรากฏในเขตพื้นที่แห่งนี้ ก็ปรากฏตัวอยู่บ่อยครั้ง ระดับความอันตรายของมันก็ไม่เหมือนกับข้อมูลที่ได้รับมา คิดว่าแดนอบอ้าวคงมีเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ข้าว่าพวกเราควรออกไปจากการทดสอบ และรายงานเรื่องนี้ให้ทางนิกายทราบถึงจะเป็นแผนการที่ดีที่สุด” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
“ข้าเองก็คิดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าอัคคีจิตวิญญาณเหล่าเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แดนอบอ้าวอันตรายขึ้นมาเป็นอย่างมาก ตามระเบียบของนิกาย พวกเราสามารถออกไปจากการทดสอบนี้ได้” ชายชุดขาวได้ยินหลิ่วหมิงเสนอเช่นนี้ เขาก็เห็นด้วย
“ในเมื่อทั้งสองกล่าวเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ” เสวียนจั้งฟังแล้วก็ค่อยๆ พยักหน้าเห็นด้วย
“ถ้าเช่นนั้นพวกเรารีบไปจากที่นี่เถอะ ยิ่งยืดเวลานานอุปสรรคก็ยิ่งมาก ข้ายังมีบาดแผลตามตัว ต้องขอไปก่อนแล้ว” ชายหนุ่มชุดขาวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็พลิกฝ่ามือหยิบตราหยกออกมาทันที และปล่อยพลังเข้าไปในนั้น
“ฟู่!”
แสงเปล่งประกายบนผิวตราหยก ทันใดนั้นก็มีแสงสีขาวก็พุ่งขึ้นฟ้า แต่พอมันจมหายไปบนฟ้าไม่นาน ก็ระเบิดออกมาเป็นจุดแสง
และในขณะเดียวกัน ตราหยกในมือชายหนุ่มก็แตกละเอียดเป็นผุยผง
ทั้งสามเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที พวกเขาต่างก็จ้องมองด้านบนตาไม่กระพริบ
แต่พอเวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งถ้วยชา กลับยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่บอกว่าบีบตราหยกจนแตกละเอียดแล้ว ก็จะถูกส่งออกไปหรอกหรือ ?” น้ำเสียงของชายหนุ่มชุดขาวสั่นสะท้านเล็กน้อย
หลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนสบตากันทีหนึ่ง ซึ่งสีหน้าของทั้งสองต่างดูไม่ได้เป็นอย่างมาก
จากนั้นพวกเขาก็ทยอยกันบีบตราหยกในมือจนแตกละเอียด แต่ผลลัพธ์กลับเป็นดังที่คาดไว้ ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นเลย
สำหรับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในก่อนหน้านั้น ทำให้หลิ่วหมิงคาดเดาอย่างลางๆ ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในแดนอบอ้าวหรือไม่ ตอนนี้ตราหยกยังสูญเสียผลลัพธ์ไป มันจึงเป็นการยืนยันว่าการคาดเดาของเขาเป็นจริงอย่างแน่นอน
“ตอนนี้ตราหยกไร้ซึ่งผลลัพธ์ ถ้าอย่างนั้นคงไม่สามารถไปจากสถานที่แห่งนี้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้ ไม่รู้ว่าหัวหน้าสาขาทั้งแปดที่อยู่ด้านนอกจะรับรู้สถานการณ์ในนี้หรือไม่ แต่ภาระอันเร่งด่วนเช่นนี้ พวกเราคงได้แต่พยายามรักษาชีวิต และหาวิธีหลุดพ้นไปเอง นอกเสียจากว่าสหายทั้งสองจะมีวิธีการอื่นในการออกไปจากที่นี่” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“พวกเราเข้ามาที่นี่ได้ ล้วนถูกหัวหน้าสาขาทั้งแปดรวมพลังส่งเข้ามา ไหนเลยจะมีวิธีการอื่นในการออกไป” ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวด้วยใบหน้าซีดขาว
“ข้าก็ไม่มีวิธีการอื่น” จั้งเสวียนตาเป็นประกายสองสามทีแล้วกล่าวออกมา
“ดูท่าตอนนี้คงต้องไปรวมตัวกับคนอื่นๆ แล้วหารือวิธีการรับมือก่อน ในเมื่ออัคคีจิตวิญญาณเหล่านั้นไม่ถูกจำกัดพื้นที่แล้ว หากพวกเราอยู่ที่นี่ต่อล่ะก็ เกรงว่าคงจะอันตรายเป็นอย่างมาก” ชายชุดขาวคิดไตร่ตรองไปรอบหนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“พวกเราย่อมต้องไปจากที่นี่อย่างแน่นอน ศิษย์คนอื่นๆ คงไปตามส่วนต่างๆ ของแดนอบอ้าวที่มีอัคคีจิตวิญญาณ และศิษย์ส่วนมากก็เลือกไปหากลุ่มอัคคีจิตวิญญาณที่อยู่ใจกลางแดนอบอ้าว บริเวณนั้นคงมีศิษย์นิกายเรารวมตัวกันอยู่มากที่สุด แต่ในเมื่อตอนนี้อัคคีจิตวิญญาณต่างก็ปรากฏตัวในเขตพื้นที่อื่นๆ คิดว่าในเขตพื้นที่นั้นคงมีอัคคีจิตวิญญาณรวมตัวอยู่ไม่ค่อยมาก พวกเราควรไปรวมตัวกับพวกเขาที่นั่น แต่ในเมื่ออัคคีจิตวิญญาณสามารถพาอสูรธาตุไฟเหล่านี้มาลอบโจมตีพวกเราได้ คิดว่าคนอื่นๆ ก็คงไม่อาจโชคดีรอดพ้นไปได้ ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถรอดไปถึงที่นั่นอย่างปลอดภัย อีกอย่าง เห็นได้ชัดว่าเส้นทางบนแผนที่เหล่านั้นใช้ไม่ได้อีกแล้ว พวกเราจำต้องบุกเบิกเส้นทางอื่น” จั้งเสวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“อันนี้ง่ายมาก พวกเราเพียงแค่เลือกเส้นทางที่ไม่ได้ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ก็พอแล้ว แม้อาจจะพบจะดับอันตรายอย่างอื่น แต่ก็ยังดีกว่าถูกอัคคีจิตวิญญาณเหล่านั้นจับตามอง” เดิมทีหลิ่วหมิงก็คิดเช่นนี้ พอได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากจั้งเสวียน แม้จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ยังคงกล่าวเห็นด้วย
ชายหนุ่มชุดขาวไม่มีข้อโต้แย้งในเรื่องนี้
หลังจากหารือกันไปรอบหนึ่งแล้ว ทั้งสามก็ตัดสินใจรอจนพลังเวทของชายหนุ่มชุดขาวฟื้นคืนเล็กน้อย จากนั้นก็จะออกเดินทางไปยังใจกลางแดนอบอ้าวที่มีอัคคีจิตวิญญาณกลุ่มใหญ่รวมตัวกันทันที
ชายหนุ่มชุดขาวหยิบขวดหยกสีเขียวออกจากแขนเสื้อข้างหนึ่ง และเทโอสถสีแดงออกมาทานสองเม็ด จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิหลับตาทำสมาธิต่อ
ผ่านไปไม่นาน ใบหน้าที่ซีดขาวของชายหนุ่มก็ค่อยๆ มีเลือดฝาดขึ้นมา
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิลงบนก้อนหินสีแดงก้อนหนึ่ง และปล่อยพลังจิตไปสังเกตดูรอบด้านอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดอะไรบางอย่างเงียบๆ
จั้งเสวียนก็ยืนกอดอกอยู่ที่เดิม และมองออกไปไกลๆ ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา