หลังจากคนกลุ่มนี้หารือกันรอบหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็เห็นด้วยกับแผนทำลายรังอัคคีจิตวิญญาณ
ต่อให้อัคคีจิตวิญญาณกลายพันธุ์เหล่านี้จะมีพลังแข็งแกร่ง แต่ในขณะที่ยังมีพลังอยู่ในระดับของเหลว และศิษย์สายนอกที่มาถึงที่นี่ได้ก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ ย่อมไม่มีใครหวาดกลัวอย่างแน่นอน
เพราะเทียบกับแต้มคุณูปการที่จะได้รับเป็นจำนวนมากแล้ว อันตรายแค่นี้นับว่าคุ้มค่ามาก
“ในเมื่อทุกท่านไม่มีข้อคิดเห็นใดๆ แล้ว ก็เหลือคนยี่สิบคนไว้ช่วยศิษย์น้องเฉินเติงวางค่ายกลขับไล่เมฆอัคคี คนที่เหลือตามข้าบุกเข้าไปในหุบเขา ชิงของล้ำค่ามา” ชายหน้าดำแบ่งงานเช่นนี้
“มีเรื่องหนึ่งที่ต้องพูดให้ชัดเจนก่อน เมื่อได้ของล้ำค่าชิ้นนี้มา แม้ทุกคนในที่นี้จะได้ส่วนแบ่งแต้มคุณูปการ แต่ก็ต้องแบ่งตามผลงานที่ทำ ผู้ที่รับผิดชอบค่ายกลกับข้ามีอันตรายค่อนข้างน้อย จึงได้แค่หนึ่งในสามของผู้ที่บุกเข้าไปในหุบเขา ส่วนผู้ที่บุกเข้าไปในหุบเขาเพื่อชิงของล้ำค่านั้น มีอันตรายกว่ามาก ดังนั้นจึงได้รับแต้มคุณูปการมากกว่า” เฉินเติงกล่าวเสริมด้วยสีหน้าหนักแน่น
สำหรับการแบ่งแต้มคุณูปการเช่นนี้ ผู้คนกลับมีความเห็นไม่มาก
ศิษย์ที่คิดว่าตนเองมีพลังแข็งแกร่ง ย่อมยินยอมเข้าไปในหุบเขา ซึ่งไม่เพียงแต่จะได้รับแต้มคุณูปการจำนวนมาก แต่ยังได้แก่นบริสุทธิ์จากการสังหารอัคคีจิตวิญญาณด้วย
ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในก่อนหน้านั้นกับผู้ที่ระมัดวังตัวหน่อย ต่างก็เต็มใจไปรักษาค่ายกลกับเฉินเติง
ขณะนี้ เฉินเติงก็หยิบธงค่ายกลห้าสีปึกหนึ่งกับแผ่นค่ายกลออกจากแขนเสื้อ และแบ่งให้กับศิษย์สายนอก
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็วแล้วลุกขึ้นมาทันที จากนั้นก็เดินไปรับธงค่ายกลที่เฉินเติงมาชุดหนึ่ง และไปยืนรออยู่ข้างๆ
จั้งเสวียนรู้สึกประหลาดใจกับการกระทำของหลิ่วหมิงเล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จากนั้นก็เดินไปรับธงค่ายกลจากเฉินเติงเช่นกัน
เยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นเห็นเช่นนี้ ก็ส่งเสียงคุยกันสองสามประโยค และเข้าอยู่ไปในกลุ่มเดียวกับศิษย์ที่วางค่ายกล
หลังจากเฉินเติงแจกธงค่ายกลเสร็จแล้ว ก็เริ่มบอกตำแหน่งของตาค่ายกลและวิธีการกระตุ้น ขณะที่พูดก็ถือแผ่นสีเขียวหยกทำการคำนวณอะไรบางอย่างอยู่
แม้ว่าค่ายกลเมฆาชุดนี้จะไม่ซับซ้อนมากนัก แต่เพื่อขับไล่เมฆอัคคีเหนือหุบเขาทั้งหมด ย่อมกินพื้นที่ไม่น้อย ด้วยเหตุนี้จึงต้องขยายออกไปหลายครั้ง เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด
สิ่งที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยก็คือ ใต้ที่ดินที่ลึกลงไปจากที่พวกเขาอยู่หลายร้อยจั้ง อสูรน้อยสีแดงที่ดูคล้ายกับหนูนาพลันระเบิดตัวออกมา จากนั้นเลือดเนื้อของมันก็กลายเป็นหมอกโลหิตจมหายไปใต้ดิน
……
ขณะที่ศิษย์สายนอกนิกายยอดบริสุทธิ์เตรียมดำเนินการตามแผนนั้น
ภายในส่วนลึกของหุบเขาใหญ่ที่อยู่ห่างจากจุดรวมตัวของฝูงชนไปสิบกว่าลี้ ภายในหลุมยักษ์ที่มีขนาดหมู่กว่าๆ ถูกปกคลุมไปด้วยหินจิตวิญญาณธาตุไฟสีแดง
ใจกลางหลุมมีเสาผลึกขนาดเท่าอ่างล้างหน้า สูงราวๆ สามสิบกว่าจั้งตั้งตระหง่านอยู่ มันมีลักษณะกึ่งโปร่งแสง และเปล่งแสงสีแดงแปลกประหลาดออกมาไม่หยุด
ปลายผลึกมีอัคคีจิตวิญญาณร่างมนุษย์ยักษ์นั่งขัดสมาธิอยู่ อัคคีจิตวิญญาณมีรูปร่างแตกต่างจากตัวอื่นมาก มีขนาดใหญ่สองจั้ง สีของเปลวไฟที่ลอยวนรอบตัวก็เข้มกว่าตัวอื่นมาก และแผ่กลิ่นไอเข้าใกล้ระดับผลึกออกมาลางๆ
และบริเวณเสาผลึกก็มีอัคคีจิตวิญญาณกว่าร้อยตัวนั่งขัดสมาธิอยู่เนืองแน่น แต่ละตัวต่างก็อ้าปากดูดซับแสงสีแดงแปลกประหลาดที่แผ่ออกจากเสาผลึกอย่างสุดชีวิต
และพอดูซับเข้าไปส่วนหนึ่ง เปลวไฟบนตัวก็สว่างขึ้นเล็กน้อย กลิ่นไอบนตัวก็ค่อยๆ แข็งแกร่งมากขึ้น
แสงสีแดงจำนวนมากที่เสาผลึกแผ่ออกมา กลับถูกอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ดูดซับภายในอึดใจเดียว ทำให้กลิ่นไอบนตัวมันน่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิม
ทันใดนั้น พออัคคีจิตวิญญาณยักษ์ขยับตัว เปลวไฟรอบตัวก็ลุกพรึ่บขึ้นมา จากนั้นก็ลืมตาทั้งสองขึ้น เผยให้เห็นลูกตาสีขาวเทาที่ไม่เหมือนกับอัคคีจิตวิญญาณตัวอื่นๆ ทั้งยังเต็มไปด้วยความกระหายเลือด
“นิกายยอดบริสุทธิ์ ฆ่า ฆ่า ฆ่า……”
ร่างของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ล้วนเต็มไปด้วยเปลวไฟ ใบหน้าที่พร่ามัวเผยให้เห็นถึงปากสีเลือดขนาดใหญ่ที่อ้าออกมา มันเปล่งเสียงแหบแห้งไม่ชัดเจน แม้ว่าน้ำเสียงจะแหลมแปลกประหลาด แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นภาษามนุษย์
อัคคีจิตวิญญาณธรรมดาที่อยู่บริเวณรอบๆ ฮือฮาขึ้นมาตามเสียงนี้ในทันที ราวกับว่าได้รับกระตุ้นอย่างรุนแรง ไม่นานดวงตาของพวกมันก็ดูบ้าคลั่งขึ้นมา เสียงแผดร้องแหลมขานรับกันชั่วขณะหนึ่ง ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังสะท้อนไปทั่วทิศ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา