ขณะนี้เฉินเติงลอยอยู่กลางอากาศเหนือใจกลางค่ายกล และโยนแผ่นค่ายกลหยกเขียวในมือให้ลอยอยู่ตรงหน้า
เขาเริ่มร่ายคาถาออกมา นิ้วทั้งสิบดีดออกไปอยู่ไม่หยุด พลังแต่ละสายกระพริบเข้าไปในแผ่นค่ายกล
แสงสีเขียวลอยวนขึ้นมาจากแผ่นค่ายกลหยกเขียว จากนั้นแสงสีเขียวเล็กๆ ก็พุ่งออกมา และพุ่งไปยังแผ่นค่ายกลบนมือศิษย์ที่อยู่ใกล้เขาที่สุด จากนั้นก็พุ่งไปยังศิษย์คนอื่นที่อยู่ข้างๆ
พริบตาเดียว แสงสีเขียวก็พุ่งออกไปสิบกว่าครั้ง แค่ละครั้งแสงสีเขียวที่เชื่อมกับแผ่นค่ายกลอื่นๆ จะขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย เมื่อมันพุ่งออกจากแผ่นค่ายกลที่อยู่บนมือของศิษย์คนสุดท้าย มันก็มีขนาดเท่าแขนของผู้ใหญ่
แต่ขณะที่แสงสีเขียวพุ่งกลับไปยังแผ่นค่ายกลตรงหน้าเฉินเติงนั้น ตาค่ายกลยี่สิบกว่าแห่งที่อยู่รอบด้าน ก็เชื่อมโยงกันทั้งหมด
“เปิด!”
ภายใต้การตะคอกเสียงของเฉินเติง ไม่รู้ว่ามีธงยักษ์สีเขียวปรากฏอยู่ในมือเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ และต่อมาเขาก็ทุ่มกำลังโบกสะบัดมัน
และในขณะเดียวกัน แสงสีเขียวตามจุดต่างๆ ก็เปล่งประกายออกมาพร้อมกัน หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ทำท่ามือ และค่อยๆ ปล่อยพลังใส่แผ่นค่ายกลในมือ
พื้นดินบริเวณที่ค่ายกลตั้งอยู่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง อักขระจำนวนมากลอยขึ้นมารวมตัวเหนือค่ายกล และประสานกันไปมาจนกลายเป็นแผนภาพลึกลับ
มีเสียงแผดร้องดังขึ้นมา!
แผนภาพกลายเป็นพายุหมุนสีเขียวพุ่งขึ้นฟ้า และปะทะใส่เมฆอัคคีเหนือหุบเขาที่อยู่ไม่ไกล
ครู่ต่อมา เมฆอัคคีขนาดใหญ่ก็พวยพุ่งอย่างรุนแรงราวกับน้ำเดือด และเริ่มสลายไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ธงยักษ์สีเขียวในมือเฉินเติงโบกสะบัดไม่หยุด พายุสีเขียวก็พุ่งออกไปอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวเมฆอัคคีที่หนาแน่นก็ถูกพัดออกไปกว่าครึ่งหนึ่ง
ปราณอัคคีจิตวิญญาณในหุบเขาถูกลดไปมาก
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ศิษย์รอบด้านที่มีอาการคันไม้คันมือก็เผยสีหน้าดีใจออกมา แม้ว่าเมฆอัคคีที่เหลือจะยังนับว่ามีความหนาแน่นอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่ต้องไปใส่ใจมันแล้ว
“ไป! พวกเราบุกเข้าไป! ศิษย์น้องเฉิน พวกเจ้ากระตุ้นค่ายกลต่อไป อย่าให้เมฆอัคคีกลับมารวมตัวกันได้” ชายหน้าดำตะโกนบอก พอทำท่ามือด้วยมือเดียว แสงสีฟ้าก็เปล่งประกายออกจากตัว จากนั้นเขาก็ทะยานขึ้นฟ้า และพุ่งไปตรงทางเข้าหุบเขา
ศิษย์หลายสิบคนที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนี้ ก็ตามติดไปอย่างไม่รอรี
พอคนกลุ่มนี้เข้าไปในหุบเขา ก็พากันปล่อยอาวุธจิตวิญญาณ ขับไล่คลื่นความร้อนที่ปะทะเข้ามา ไม่นานก็หายลับไปท่ามกลางเมฆอัคคีที่เหลือ
ไม่นานก็มีเสียงระเบิดอย่างรุนแรงดังมาจากส่วนลึกของหุบเขา ดูท่าพวกชายหนุ่มแซ่หลินคงจะปะทะกับอัคคีจิตวิญญาณกับอสูรเพลิงที่อยู่ด้านในแล้ว
ขณะที่มีเสียงดังจนหูจะหนวกดังออกมาไม่ขาดสายนั้น ก็มีเสียงคำรามของอสูรเพลิงและเสียงปะทะกับอัคคีจิตวิญญาณผสมปนเปมาด้วย
ฟังจากเสียงที่ดังออกมาจากด้านใน ศิษย์ที่ควบคุมค่ายกลอยู่ด้านนอกก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา ในเมื่อมีอสูรเพลิงอยู่ด้านในจำนวนมาก ก็มีโอกาสเป็นได้มากว่าจะมีสมบัติซ่อนอยู่ด้านใน
ศิษย์บางคนที่เลือกอยู่ด้านนอก รู้สึกเสียใจในภายหลังเล็กน้อยที่ไม่ได้เข้าไป
พอถึงเวลาแบ่งแต้มคุณูปการ พวกเขาที่อยู่ได้นอกจะได้ส่วนแบ่งน้อยกว่าผู้ที่บุกเข้าไปมาก
หลิ่วหมิงมองไปทางหุบเขาด้วนสีหน้าสงบ ส่วนมือของเขาก็เปลี่ยนผลึกหินธาตุลมที่หมดพลังแล้วอยู่ไม่หยุด
ขณะนี้ ค่ายกลแต่ละจุดยังคงกระตุ้นพายุสีเขียวแดงออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับไล่เมฆอัคคีที่อยู่ตามจุดต่างๆ ของหุบเขา แต่ดูเหมือนว่าเมฆอัคคีเหล่านี้ จะถูกพลังบางอย่างลากเอาไว้ พอมันถูกโจมตีจนกระจายออกไป ก็กลับมารวมตัวใหม่อย่างรวดเร็ว
ขณะที่ผู้คนจำนวนมากเข้าไปทำศึกใหญ่ด้านในนั้น ค่ายกลขับไล่เมฆก็ดูเหมือนจะสิ้นเปลืองพลังจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก ซึ่งห่างจากที่หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ คาดคิดยิ่งนัก
พอส่งจิตกวาดดูยันต์เก็บของในมือ ก็ค้นพบว่ามีผลึกหินเหลืออยู่ในนั้นแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น
ผลึกหินธาตุลมที่ทำให้ค่ายกลดำรงอยู่เหล่านี้ รวบรวมมาจากศิษย์สายนอกที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ จากนั้นก็แบ่งคนให้ที่รักษาค่ายกลคนละเท่าๆ กัน แต่ดูจากการสิ้นเปลืองของมันในตอนนี้แล้ว พลังของค่ายกลคงยืนหยัดได้ไม่นานมากนัก พอไม่สามารถขับไล่เมฆอัคคีได้อย่างต่อเนื่อง ย่อมเกิดปัญหากับผู้คนที่บุกเข้าไปเป็นแน่
“พี่หลิ่ว ผลึกหินธาตุลมเหลือไม่มากแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าค่ายกลคงยืนหยัดได้ราวๆ ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น” ขณะนี้ จั้งเสวียนก็ส่งเสียงมาข้างหูหลิ่วหมิง
“ตอนนี้ไม่อาจคิดอะไรได้มาก ยืนหยัดได้เท่าไหนก็เท่านั้น” หลิ่วหมิงส่งเสียงกลับไปอย่างราบเรียบ
“ตามแนวโน้มนี้ หากไม่มีค่ายกลคอยประคับประคองไว้ เมฆอัคคีเหล่านี้จะต้องกลับมารวมตัวกันอย่างแน่นอน เมื่อมีเมฆอัคคีคอยช่วยเสริม เกรงว่าผู้คนที่เข้าไปในด้านใน คงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแล้ว……” จั้งเสวียนแหงนหน้ามองฟ้าและกล่าวอย่างสงบ
“ตอนนี้ทำได้แค่ลงมือตามโอกาส ข้ามักจะรู้สึกว่าต่อให้ไม่มีเมฆอัคคี อัคคีจิตวิญญาณเหล่านี้ก็ไม่สามารถจัดการได้โดยง่าย” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง
“อ้อ! หรือว่าพี่หลิ่วจะค้นพบอะไรเข้า?” จั้งเสวียนส่งเสียงกลับมาด้วยความแปลกใจ
“ไม่หรอก ข้าแค่รู้สึกไปเองเท่านั้น” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถึงตอบกลับไป
สิ่งนี้ทำให้จั้งเสวียนหมดคำพูดไปชั่วขณะหนึ่ง
ขณะที่ทั้งสองส่งเสียงคุยกันนั้น พลันมีเสียงแผดร้องดังมาจากหุบเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีแสงสีฟ้าเปล่งประกาย และสายรุ้งสีฟ้าก็พุ่งมาทางหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ
พอแสงหลบหลีกสีฟ้ากลางอากาศดับลง ก็มีเงาร่างคนปรากฏออกมา ซึ่งก็คือชายหน้าดำแซ่หลินนั่นเอง!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา