จะเห็นว่าน้ำในที่นี้เป็นสีแดงราวกับเป็นหินหนืด
หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียวอย่างไม่ลังเล ทันใดนั้นไอดำก็พวยพุ่งออกจากร่าง ขณะเดียวกัน แสงสีทองเป็นจุดๆ ก็ออกมาจากแขนเสื้อ และกลายเป็นทรายสีเหลืองปกคลุมเขาไว้
“ตู๊ม!”
เขาร่วงลงไปในแม่น้ำราวกับก้อนหิน
แม้ว่าน้ำด้านล่างจะร้อนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และภายใต้สถานการณ์ที่มีปราณแกร่งไว้ห่อหุ้มไว้ และยังมีเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์คอยช่วย เขาย่อมผ่านไปอย่างปลอดภัย
อึดใจเดียวเขาก็ดำลึกลงไปก้นแม่น้ำสิบกว่าจั้ง ขณะเดียวกันก็ระงับกลิ่นไอบนตัวไว้ แม้กระทั่งคลื่นพลังของทรายทองคำร่วงก็ถูกระงับจนถึงขีดสุด
ผ่านไปไม่นาน มีเสียงดังโครมครามมาจากด้านบน ทั้งยังเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
“หวังว่าจะสามารถปิดบังได้……” หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้ในใจ
และขณะที่เขาคิดเช่นนี้ น้ำในแม่น้ำก็พวยพุ่งอย่างรุนแรง จระเข้เพลิงหลายตัวกำลังก่อกวนน้ำอยู่ และว่ายมาทางเขา
หลิ่วหมิงแอบกร่นด่าอยู่ในใจ จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีทองพุ่งออกจากผิวน้ำ
และดูเหมือนจะมีอัคคีจิตวิญญาณยืนรออยู่ริมแม่น้ำนานแล้ว พอเห็นหลิ่วหมิง พวกมันก็แผดเสียงแหลมออกมา จากนั้นอสูรเพลิงจำนวนมากที่อยู่ข้างหลังก็กระโจนเข้ามาทันที
หลิ่วหมิงได้แต่ปล่อยกระบี่บินออกไป พอสังหารอสูรเพลิงไปหลายตัวแล้ว ถึงหาจังหวะหลบหนี
ไม่นาน หลิ่วหมิงก็มาถึงใต้ดินที่ลึกลงจากเนินเขาบางแห่งไปพันกว่าจั้ง โดยที่มีแสงสีเหลืองห่อหุ้มตัวไว้
“ซ่อนอยู่ลึกขนาดนี้ ต่อให้เป็นพลังจิตของระดับผลึก ก็คงไม่อาจรับรู้ได้” พอพูดพึมพำจบ เขาก็นั่งขัดสมาธิลงไป และหยิบหินจิตวิญญาณระดับสูงออกมาสองก้อน เพื่อฟื้นฟูพลังเวท
หลังจากผ่านศึกใหญ่มาหลายครั้งและวิ่งหนีมาตลอดทาง ต่อให้หลิ่วหมิงจะมีพลังเวทหนาแน่นกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันมาก แต่ก็ไม่สามารถแบกรับได้ไหว
แต่ทว่าเขายังไม่ทันได้เข้าฌาน ก็มีเสียงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงมาจากด้านบน
หลิ่วหมิงรีบปล่อยจิตรับรู้ออกไปดูด้วยความตกใจ ครู่ต่อมาเขาก็ต้องยิ้มอย่างขมขื่น
ด้านบนที่สูงขึ้นไปร้อยกว่าจั้ง ตะขาบยักษ์สองตัวที่มีเปลือกแข็งแกร่งกำลังเคลื่อนไหวขายาวๆ ของมันอยู่ และขุดดินมาทางเขาอย่างรวดเร็ว
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาต่อมา หลิ่วหมิงที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเหลือง ก็พุ่งขึ้นจากใต้ดินตรงเนินเขา และคิดจะหนีลอยนวลไปให้ไกลๆ
แต่พลันมีแสงไฟเปล่งประกายตรงหน้า อัคคีจิตวิญญาณที่ไม่รู้ว่าซ่อนตัวอยู่ที่ใดในก่อนหน้านั้นได้ปรากฏออกมา และมาขวางอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว
“รนหาที่ตาย!”
หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา กะอีแค่อัคคีจิตวิญญาณระดับของเหลวขั้นต้นตัวหนึ่ง เขาย่อมไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย จุดแสงสีทองเปล่งประกายในแขนเสื้อทันที หมอกทรายสีทองขนาดใหญ่ม้วนตัวออกไป พริบตาเดียวก็กลายเป็นมือยักษ์สีทองอร่ามคว้าอัคคีจิตวิญญาณเอาไว้แน่น
จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้ออีกข้าง
แสงกระบี่สีฟ้าเปล่งประกายออกมา!
อัคคีจิตวิญญาณที่ถูกเขาจับตัวไว้ ถูกกระบี่ตัดคอโดยที่ไม่มีโอกาสแม้จะส่งเสียงร้อง
“เอ๊ะ! กลิ่นไอเมื่อครู่นี้……” หลิ่วหมิงนำแก่นบริสุทธิ์ออกมา ขณะที่กำลังจะหมุนตัวพุ่งหนีไปนั้น พลันหันไปมองศพไร้หัวของอัคคีจิตวิญญาณด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ก่อนหน้านั้น เขาได้กลิ่นไออันคุ้นเคยจากซากศพอัคคีจิตวิญญาณตัวอื่น มันคลับคล้ายคลับคลากับอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ที่เขาพบเจอ
ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดัง “ตู๊ม!” ศพอัคคีจิตวิญญาณไร้หัวระเบิดออกมาทันที จากนั้นมันก็กลายเป็นเถ้าธุลีท่ามกลางเปลวไฟที่พวยพุ่ง และแสงสีแดงก็พุ่งออกไปเพื่อคิดจะหลบหนี
แต่หลิ่วหมิงเป็นคนระดับใด? พอเขาขยับตัวโดยไม่ต้องคิด ก็มาปรากฏอยู่ข้างแสงสีแดง และคว้ามันเอาไว้
เขาปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งกวาดไปบนมือ
“ที่แท้กลิ่นไอนี้ก็เป็นของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์จริงๆ มันนำจิตรับรู้ส่วนหนึ่งแฝงไว้ในตัวอัคคีจิตวิญญาณทั่วไป มิน่าล่ะ! ไม่ว่าจะหลบอย่างไร ก็ไม่อาจหนีการตามล่าของอัคคีจิตวิญญาณกับอสูรเพลิงได้ ด้วยพลังอันแข็งแกร่งของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ ในขณะที่อยู่ในแดนอบอ้าวที่มีปราณจิตวิญญาณธาตุไฟเต็มเปี่ยม เพียงแค่อยู่ในระห่างที่แน่นอน ก็หาศัตรูที่หลบซ่อนด้วยวิธีการต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย”
หลังจากหลิ่วหมิงเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ก็เอามือทั้งสองมาถูกันทันที และพอบีบอัดจนแสงสีแดงดับลง เขาก็พุ่งไปยังทิศทางบางแห่งทันที
……
ผ่านไปไม่นาน ระหว่างหุบเขาคับแคบแห่งหนึ่ง มีแสงสีเขียว สีม่วงกระพริบผ่านไป และมีเมฆอัคคีสีแดงตามหลังไปติดๆ
บริเวณที่เมฆอัคคีเคลื่อนตัวผ่าน มีคลื่นความร้อนพวยพุ่งโจมตีเข้ามาเป็นระลอกๆ มีสะเก็ดไฟสีแดงปะปนอยู่ท่ามกลางแสงไฟ
ผ่านไปซักพัก แสงหลบหลีกหลายลำก็สลายตัวตรงปลายสุดของหุบเขา เผยให้เห็นร่างของคนที่อยู่ในนั้น ซึ่งก็คือจั้งเสวียนกับเฉินเติงและคนอื่นๆ นั่นเอง
“แย่แล้ว! หุบเขานี้ไม่สอดคล้องกับเครื่องหมายบนแผนที่ คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นหุบเขาทางตัน” ศิษย์ชุดเขียวคนหนึ่งจ้องมองเมฆอัคคีที่พวยพุ่งเข้ามา และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คงได้แต่หันหลังชนฝาเผด็จศึกแล้ว” เฉินเติงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลังจากคนเหล่านี้พบเจอกัน ก็ต่อสู้เป็นพัลวันจนมาถึงที่นี่ และพลังเวทก็หมดไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา