วิหคเพลิงที่อยู่ด้านในส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา และถูกแท่งแหลมคมเหล่านี้ปั่นจนเละ
จากนั้นลูกทรายสีทองก็ระเบิดตัวเป็นหมอกทราย และม้วนตัวไปทางอัคคีจิตวิญญาณสองตัวที่อยู่กลางอากาศ
และพออัคคีจิตวิญญาณสองตัวกลางอากาศเห็นเช่นนี้ ก็ส่งเสียงร้องแหลมออกมา มันพลิ้วไหวรวมตัวเข้าด้วยกัน จากนั้นก็กลายเป็นลูกไฟยักษ์พุ่งยิงออกไป และกระพริบแค่ไม่กี่ที ก็หนีออกไปไกลหลายสิบจั้ง
พอหมาป่าเพลิงที่เหลืออยู่ได้ล่างได้ยินเสียงร้องแหลมของอัคคีจิตวิญญาณ ก็พุ่งถอยออกไปไกลๆ ท่ามกลางเมฆอัคคีที่พวยพุ่ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลง และโบกมือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ทันใดนั้นทรายทองคำร่วงกับกระบี่บินก็พุ่งกลับเข้ามา และไม่ได้ตามไล่ล่าพวกมันอีก
พอเฉินเติงและคนอื่นๆ เห็นหลิ่วหมิงโผล่มาโดยไม่คาดคิด ทั้งยังแสดงวิธีการอันร้ายกาจเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น และตะลึงพรึงเพริดกันเป็นอย่างมาก
“ขอบคุณพี่หลิ่วที่ยื่นมือเข้าช่วย น้ำใจนี้ข้าจดจำไว้แล้ว ภายหลังจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน” จั้งเสวียนถอนหายใจยาวๆ และกล่าวขอบคุณหลิ่วหมิง
ศิษย์สายนอกอีกสองคนก็พากันกุมมือคารวะขอบคุณหลิ่วหมิง
เฉินเติงก็ทำท่ามือเก็บค่ายกล จากนั้นม่านแสงสีฟ้าก็กระพริบหายไป สีหน้าเขาดูซึ้งในน้ำใจของหลิ่วหมิงมาก และพูดอะไรบางอย่างกับหลิ่วหมิง
แต่ทว่าในขณะนี้ พลันมีเสียงสั่นสะเทือนดังโครมครามมาจากด้านหลังของหุบเขา จากนั้นเสาเพลิงก็พุ่งขึ้นจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ เมฆรูปดอกเห็ดสีแดงขนาดเท่าศีรษะปรากฏขึ้นมา พวกมันคือฝูงอสูรเพลิงที่ตามล่าหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้น และกำลังพุ่งมาทางหุบเขา!
“ที่นี่อยู่นานไม่ได้ พวกเราเดินทางไปด้วยพูดไปด้วยดีกว่า” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พอทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอดำก็ก่อตัวตรงใต้เท้า จากนั้นก็พุ่งไปตรงปากทางเข้าหุบเขา
เฉินเติงและคนอื่นๆ ย่อมมองเห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตรงขอบฟ้า จึงพากันทะยานขึ้นฟ้าด้วยความตกใจ
ภายในแสงหลบหลีก คนกลุ่มนี้ต่างก็กุมหินจิตวิญญาณไว้ เพื่อฟื้นฟูพลังเวทโดยเร็ว
“พี่เฉิน หากยังคงพัวพันกับอสูรเพลิงและอัคคีจิตวิญญาณจำนวนมากอยู่เช่นนี้ พวกเราจะสูญเสียพลังเวทไปมาก ไม่สามารถฟื้นฟูได้ทัน เกรงว่าคงไม่อาจยืนหยัดได้นาน ไม่ทราบว่าท่านมีวิธีการรับมือหรือไม่?” หลิ่วหมิงถามเฉินเติงอย่างราบเรียบในฉับพลัน
เฉินเติงไม่เพียงแต่มีระดับการฝึกฝนสูงสุดในที่นี้ ทั้งยังเชี่ยวชาญค่ายกลมากมาย อาวุธจิตวิญญาณในมือก็ไม่ได้อ่อนแอ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ที่มีเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่
“ไม่ทราบว่าตลอดการหลบหนี พี่หลิ่วค้นพบอะไรแปลกๆ บ้างหรือไม่?” เฉินเติงไม่ได้ตอบคำถามหลิ่วหมิงโดยตรง แต่กลับถามออกมาเช่นนี้
“หรือว่า……พี่เฉินจะหมายถึงอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ตัวนั้น?” หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา แต่ยังคงกล่าวด้วยสีหน้าปกติ
“ไม่ผิด! ศึกในตอนนั้น พวกเขาทั้งสองเคยบุกเข้าไปถึงหลุมใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกของหุบเขา และเห็นกับตาว่าอัคคีจิตวิญญาณกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมเสาผลึกยักษ์ต้นหนึ่งอยู่ และที่นั่งอยู่บนเสาผลึกก็คืออัคคีจิตวิญญาณที่มีขนาดสองจั้ง คิดว่ามันคงเป็นอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ที่พี่หลิ่วเห็นตัวนั้นแล้วล่ะ และดูเหมือนว่าการฝึกฝนของมันเข้าใกล้ระดับผลึกแล้ว คงจะเป็นราชาของแดนอบอ้าวแห่งนี้ และไม่แน่ว่าเสาผลึกต้นนั้น อาจจะเป็นของล้ำค่าชิ้นนั้นที่ทำให้ปราณพลังฟ้าดินเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็ได้” เฉินเติงเงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ชี้ไปที่ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งสองแล้วกล่าวออกมา
“หรือว่าความหมายของพี่เฉินก็คือ……” หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ ก็กล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“พวกเราหลบหนีมันอย่างไร้จุดหมายเช่นนี้ ไม่สู้หันหลังชนฝาสู้กันสักตั้ง ถือโอกาสที่อัคคีจิตวิญญาณส่วนมากอยู่ภายนอก เข้าไปทำลายเสาผลึกยักษ์ต้นนั้น หากเสาผลึกล้มลง อัคคีจิตวิญญาณยักษ์คงจะรับรู้ได้และรีบกลับมาตรวจสอบในทันที พอพวกเรารวมพลังจัดการมันได้ ฝูงอสูรเพลิงและอัคคีจิตวิญญาณก็จะเหมือนกับมังกรที่ไม่มีจ่าฝูง และเกิดความวุ่นวายขึ้นมา” เฉินเติงหัวเราะเฮ่อๆ! แล้วบอกความคิดของตนเองให้กับหลิ่วหมิง
“วิธีการนี้น่าลองดู แต่ดูเหมือนว่าอัคคีจิตวิญญาณในแดนลึกลับ จะเป็นร่างแฝงของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ไปหมดแล้ว พลังจิตของมันแข็งแกร่งมาก สามารถจับตำแหน่งและร่องรอยของพวกเราได้ตลอดเวลา เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแฝงตัวเข้าไปในหุบเขาได้อย่างสมบูรณ์” หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดความกังวลของตนเองออกมา
“สำหรับเรื่องนี้ พี่หลิ่วไม่ต้องกังวลเกินไป ข้ามีอาวุธจิตวิญญาณที่สามารถหลบหลีกพลังจิตของราชาอัคคีจิตวิญญาณได้ชั่วคราว ถึงแม้ไม่อาจยืนหยัดได้นาน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเราเข้าไปในหุบเขาได้ ส่วนอัคคีจิตวิญญาณกับอสูรเพลิงที่อยู่นอกหุบเขา ด้วยความสามารถของพี่เฉิน คงจะมีวิธีการหน่วงเหนี่ยวมันไว้” จั้งเสวียนที่อยู่บริเวณนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เหมือนกับจะรู้เรื่องที่จิตรับรู้ของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์แฝงอยู่ในตัวของอัคคีจิตวิญญาณทั่วไป
แต่ศิษย์อีกสองคนที่ตามอยู่ด้านหลัง กลับฟังจนปากอ้าตาค้าง
“ไม่ผิด! ข้ามีค่ายกลวิญญาณน้ำแข็งแสงลี้ลับอยู่ชุดหนึ่ง สามารถล่ออสูรเพลิงกับอัคคีจิตวิญญาณได้ชั่วคราว เดิมทีข้ากับพี่จั้งก็มีแผนเช่นนี้ แต่รู้ดีว่ามีพลังไม่พอถึงไม่ได้ลงมือจริงๆ ตอนนี้มีพี่หลิ่วเข้าร่วมด้วย ก็ลงมือทำได้เต็มที่แล้ว” เฉินเติงหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“ดี! ถ้าอย่างนั้นพวกเราค่อยๆ ปรึกษากันให้ดีเสียก่อน” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว หลังจากคิดว่าหากร่วมมือกับจั้งเสวียนจัดการกับอัคคียักษ์ มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เขาก็พยักหน้าเห็นด้วย
หลายชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงมาปรากฏตัวในป่าดงดิบสีแดงที่ห่างจากหุบเขาใหญ่ไม่ไกล
หลังจากพวกเขาหารือแผนการใหญ่กันแล้ว ก็อาศัยดวงตาทั้งคู่ของจั้งเสวียนแสดงวิชา ทำให้พวกเขาหลบเลี่ยงฝูงอสูรเพลิงส่วนใหญ่ได้ และโจมตีอสูรหลายกลุ่มที่ตามล่า ในที่สุดอัคคีจิตวิญญาณที่ไล่ตามมา ก็ถูกทิ้งห่างไว้ไกลๆ และพวกเขาก็อ้อมกลับมาตรงจุดที่อยู่ห่างจากที่อยู่ของอัคคีจิตวิญญาณไม่ไกล
ขณะนี้จั้งเสวียนมีสีหน้าขาวซีด ประจักษ์ชัดว่าการกระตุ้นเคล็ดวิชาติดต่อกัน ทำให้เขาสูญเสียพลังเวทไปมาก
“ข้ามีโอสถระดับสูงสำหรับผู้ฝึกฝนระดับของเหลว ทุกท่านฟื้นฟูพลังเวทก่อน หลังจากวางค่ายกลใหญ่เสร็จแล้ว พวกเจ้าก็รีบเข้าไปในหุบเขาโดยเร็ว และดำเนินการตามแผนที่วางไว้” เฉินเติงเห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยสีหน้าปวดใจเล็กน้อย และหยิบขวดสีเขียวมรกตออกมาใบหนึ่ง จากนั้นก็เทโอสถสีเขียวที่แผ่ปราณจิตวิญญาณอันหนาแน่นออกมาห้าเม็ด เขาแบ่งให้จั้งเสวียนและคนอื่นๆ ส่วนตนเองก็กลืนลงไปเม็ดหนึ่งเช่นกัน
หลิ่วหมิงรับโอสถมาแล้วก็ส่งพลังจิตกวาดดูก่อนที่จะกลืนลงไป
พอโอสถเข้าปากก็รู้สึกขมเล็กน้อย แต่กลับกลืนลงคอได้อย่างง่ายดาย
ผ่านไปซักพัก ก็รู้สึกอบอุ่นในจุดตันเถียนอย่างน่าประหลาดใจ ต่อมาพลังเวทบริสุทธิ์มากมายก็ทะลักออกมาไม่หยุด และซึมเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณ เขารู้สึกได้ทันทีว่าโอสถนี้ไม่ใช่สิ่งที่โอสถระดับสูงทั่วไปจะสามารถเปรียบเทียบได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา