“แม่นางจิน ตอนนี้สามารถบอกสถานที่อันตรายแห่งนั้นได้หรือยัง ข้าต้องเตรียมอะไรบ้าง?” ขณะที่พูด หลิ่วหมิงก็เงยหน้ามองไปทางหญิงสาว
“สถานที่ที่จะไปคือบ่อเย็นแห่งหนึ่ง ข้าจะนำสมบัติชิ้นหนึ่งที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ออกมา แต่บ่อแห่งนี้หนาวเย็นตลอดปี ไอเย็นหนาแน่นมาก ศิษย์พี่ต้องเตรียมอาวุธจิตวิญญาณธาตุไฟสองสามชิ้น” จินอวี้หวนเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็บอกสถานที่ให้กับหลิ่วหมิง
พอได้ยินว่าเป็นบ่อเย็นแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงกลับไม่ได้สนใจอะไร แต่พอพูดถึงอาวุธจิตวิญญาณธาตุไฟ เขากลับรู้สึกปวดใจยิ่งนัก
ก่อนหน้านั้นเขาเพิ่งจะนำวัสดุที่ได้จากแดนอบอ้าวไปขายในตลาดของนิกายจนหมดเกลี้ยง มิเช่นนั้นหากนำวัสดุเหล่านั้นไปแลกอาวุธจิตวิญญาณ จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปมาก โดยเฉพาะไม้ตะวันยักษ์ท่อนนั้น ซึ่งเป็นวัสดุชั้นดีในการหลอมอาวุธจิตวิญญาณธาตุไฟ
ดูท่าเขาคงต้องกลับไปตลาดอีกรอบแล้ว อีกอย่างก่อนหน้านั้นเขารีบตามหญิงสาวมา จึงยังมีสิ่งของหลายอย่างที่ยังไม่ได้ซื้อ
“ศิษย์พี่ มีอะไรไม่เหมาะสมหรือ?” จินอวี้หวนรับรู้ถึงความผิดปกติบนใบหน้าหลิ่วหมิง จึงถามออกไปเบาๆ
“ไม่มี อีกสองวันพวกเราจะออกเดินทางกัน พอถึงเวลานั้น แม่นางจินพยายามออกไปอย่างเงียบๆ อย่าทำตัวให้เป็นจุดสนใจ” หลิ่วหมิงปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วกล่าวอย่างสงบ
ในเมื่อยันต์ทะลวงเส้นลมปราณอยู่ในมือแล้ว และยังมีโอสถสองเม็ดคอยช่วย เขาจึงอยากสิ้นสุดเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้กลับไปเก็บตัวทะลวงคอขวด
“ตามที่ศิษย์พี่บอก สองวันให้หลังพวกเราจะมาเจอกันที่นี่” จินอวี้หวนพยักหน้าและยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมา จากนั้นแผ่นหยกก็พุ่งออกไป
หลิ่วหมิงคว้ามันเอาไว้ และนำไปแปะบนหน้าผาก หลังจากปล่อยจิตรับรู้เข้าไปดูแล้ว ก็พยักหน้าก่อนที่จะเก็บมันเข้าไป
“หากแม่นางจินไม่มีอะไรจะมอบหมายแล้วล่ะก็ ข้าต้องขอตัวก่อน” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะ จากนั้นก็เตรียมหมุนตัวจากไป
“ใช่สิ! ข้ายังไม่รู้นามของศิษย์พี่…….” จินวี้หวนก้มหน้าถามด้วยแก้มที่แดงระเรื่อเล็กน้อย
“ข้าหลิ่วหมิง”
หลิ่วหมิงไม่ได้พูดอะไรมาก พอทำท่ามือด้วยมือเดียว ก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีเขียวพุ่งไปทางตลาดทันที
จินอวี้หวนยืนเงียบๆ อยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง จากนั้นถึงเหยียบเมฆพุ่งไปอีกทิศทางหนึ่ง
หนึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวบนถนนบางแห่งในตลาดของนิกายยอดบริสุทธิ์อีกครั้ง
หลังจากเดินเตร่อยู่ซักพัก เขาก็เดินเข้าไปในร้านค้าอาวุธจิตวิญญาณข้างถนนที่สูงสิบกว่าจั้งแห่งหนึ่ง แผ่นป้ายบนประตูมีอักขระคำว่า ‘หอฝานเซียง’ ติดอยู่
พอเขาเดินเข้าไปด้านใน จะเห็นว่าด้านหลังตู้สิ่งของจะมีเก้าอี้อยู่ตัวหนึ่ง ชายวัยกลางคนที่แต่งชุดผ้าเนื้อหยาบกำลังจ้องมองมีดบินในมือที่ถูกทำลายไปแล้ว
“ค้าขายวัสดุหลอมอาวุธอยู่ชั้นสอง ค้าขายและหลอมอาวุธจิตวิญญาณอยู่ชั้นสาม” พอรับรู้ได้ว่ามีคนเข้าร้าน ชายผู้นี้ก็ไม่เงยหน้าขึ้นมามองแต่อย่างใด แต่กลับกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
หลิ่วหมิงกลับเดินตรงขึ้นไปชั้นบนโดยไม่พูดอะไรออกมา
พอถึงชั้นสาม หลิ่วหมิงก็มองเห็นชายชุดขาวอายุสามสิบต้นๆ ที่มีรูปร่างสะโอดสะองกำลังจิบชาและสนทนาพาทีกับหญิงสาวหน้าตาธรรมดาที่มีรูปร่างยั่วยวนอยู่
“คุณหนูฝาน ดูเหมือนจะมีการค้าขายแล้ว ข้ายังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องทำ วันหลังค่อยมาจิบชาพูดคุยกับคุณหนูใหม่” พอชายชุดขาวเห็นหลิ่วหมิงเข้ามา เขาก็ลุกขึ้นกล่าวลากับหญิงสาว
“รอหลอมอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนั้นสำเร็จ ข้าจะต้องไปส่งให้คุณชายด้วยตนเองอย่างแน่นอน”
ชายชุดขาวยิ้มให้หลิ่วหมิงด้วยความเกรงใจ จากนั้นก็เดินลงบันไดไป
“ข้าน้อยฝานเสี่ยวเซียง ขอถามหน่อยว่าคุณชายผู้นี้ต้องการหลอมอาวุธจิตวิญญาณหรือซื้ออาวุธจิตวิญญาณที่สำเร็จแล้ว” นางพูดกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้มหวาน
“มีกระบี่จิตวิญญาณธาตุไฟหรือไม่ ข้าอยากจะได้สักเล่ม” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าสงบ
“คุณชายกรุณารอสักครู่ เหลียนเอ๋อร์ ยกชามา” นางสั่งสาวใช้ที่มีอายุราวๆ สิบห้าสิบหกปี จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องที่อยู่ด้านหลังอย่างสุขุมเยือกเย็น
สาวใช้ผู้นั้นรีบรินชาให้หลิ่วหมิงหนึ่งถ้วย จากนั้นก็ไปยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ
พอหลิ่วหมิงเปิดฝาถ้วยเล็กน้อย กลิ่นหอมจรุงใจก็ลอยเข้ามาเตะจมูก หลังจากจิบไปหนึ่งคำ เขาก็พูดออกมาเบาๆ
“ชาดี!” จากนั้นก็หลับตาพักผ่อน
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป หญิงที่มีรูปร่างยั่วยวนก็เดินออกจากห้องที่อยู่ด้านหลัง ในมือประคองกล่องขนาดยาวและสั้นอย่างละใบ
“คุณชายรอนานแล้ว นี่คือกระบี่จิตวิญญาณธาตุไฟสองเล่ม เล่มหนึ่งเป็นกระบี่จิตวิญญาณระดับกลางที่มียี่สิบชั้นจำกัด อีกเล่มเป็นกระบี่จิตวิญญาณธาตุไฟระดับสุดยอดที่มียี่สิบเก้าชั้นจำกัด เพิ่งหลอมเสร็จเมื่อไม่นานมานี้” หญิงรูปร่างยั่วยวนวางกล่องหยกทั้งสองไว้บนโต๊ะ และดันไปทางหลิ่วหมิงเบาๆ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
พอหลิ่วหมิงเปิดกล่องหยกใบที่มีขนาดค่อนข้างสั้น ก็มีความร้อนแผ่ออกมา กระบี่เล็กสีแดงเล่มหนึ่งพุ่งออกไป พอเขาทำท่ามือด้วยมือเดียว พลังสายหนึ่งก็พุ่งใส่ตัวกระบี่เล็ก หลังจากกระบี่เล็กสั่นสะเทือนเบาๆ กลางอากาศ ชั้นจำกัดบางๆ ยี่สิบชั้นก็ก่อตัวรอบๆ กระบี่ และส่งเสียงดังหวึ่งๆ
“ที่แท้ก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางยี่สิบชั้นจำกัด คิดว่าคงเพียงพอสำหรับการเดินทางในครั้งนี้แล้ว”
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ในใจ จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเปิดกล่องหยกอีกใบที่มีขนาดยาวด้วยความสงสัย ทันใดนั้น คลื่นความร้อนก็โจมตีเข้ามา กระบี่เล็กสีทองที่มีแสงไฟหมุนวนอยู่บนพื้นผิวพุ่งขึ้นด้านบนด้วยเสียงที่ดังกังวาน และลอยอยู่กลางอากาศ
หนังตาเขากระตุกไปทีหนึ่ง แต่ก็ยกแขนขึ้นมาอย่างเงียบๆ และปล่อยพลังใส่กระบี่เล็กสีทองกลางอากาศ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา