ตอน ตอนที่ 552 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 552 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้ว และชกกำปั้นออกไปด้านหลัง เพื่อโจมตีเงาตะขอจางๆ ให้หายไปก่อน จากนั้นก็พุ่งถอยออกไป
แต่ขณะนั้นเอง แสงกระบี่สีแดงก็ฟันลงบนไหล่ชายฉกรรจ์ แม้ไม่อาจทำลายเกราะป้องกันได้ แต่ก็ทำให้เขาโซเซไปทีหนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกแน่นที่แขน ไหมสีเขียวเล็กๆ รัดพันไว้อย่างแน่นหนา
หัวบินหัวเราะแปลกประหลาด “แคล็กๆ!” พอมันเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็แยกร่างออกเป็นแปดร่าง เส้นผมสีเขียวจำนวนมากกลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ และรัดพันชายฉกรรจ์ไว้อย่างแน่นหนา
สีหน้าของชายฉกรรจ์เปลี่ยนไปทันที แม้จะออกแรงดิ้นรนก็ไม่อาจหลุดออกมาได้ พอร่างของเขาสั่นสะท้าน เปลวไฟสีดำก็พุ่งออกจากตัว และคิดจะเผาเส้นผมเหล่านี้ให้หมดสิ้น
ขณะนั้นเอง เงาร่างพร่ามัวเงาหนึ่งก็มาปรากฏตรงด้านหลังของชายฉกรรจ์อย่างไร้สุ้มเสียง จากนั้นแสงสีทองก็เปล่งประกาย ดาบสีทองที่เต็มไปด้วยฟันเลื่อยปรากฏขึ้นตรงหน้าเงาร่าง และฟันลงบนหลังชายฉกรรจ์อย่างรุนแรง ทั้งยังลากลงไปด้านล่าง
หลิ่วหมิงอาศัยจังหวะที่แมงป่องกระดูกกับหัวบินดึงดูดความสนใจของชายฉกรรจ์นั้น ซ่อนกลิ่นไอของตัวเองไว้และแฝงตัวเข้ามา ขณะเดียวกันก็ใส่พลังเวทเข้าไปในทรายทองคำร่วง และโจมตีออกไป
“ตู้ม!”
เปลวไฟสีดำที่ปกคลุมร่างชายฉกรรจ์ถูกตัดจนขาด ขณะเดียวกันก็มีรอยแผลยาวๆ ปรากฏบนแผ่นหลัง โลหิตซึมออกมา
ชายฉกรรจ์รู้สึกปวดแสบปวดร้อนตรงหลัง พริบตาเดียวก็รู้สึกโมโหมาก ตั้งแต่เขาฝึกฝนวิชาปีศาจศีรษะทองแดงแขนเหล็กจนเข้าถึงระดับผลึกมา ไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้มาก่อน และฝ่ายตรงข้ามยังเป็นแค่ผู้น้อยระดับของเหลวขั้นปลายเท่านั้น
เขาคำรามเสียงออกมา เปลวไฟสีดำบนตัวลุกโชนขึ้นมาเผาไหม้เส้นผมสีเขียว พอออกแรงดิ้นรนก็หลุดออกมาได้
เงาหัวบินไม่ทันได้ระวัง ทันใดนั้นจึงถูกแรงฉุดกระชากจนค่อยๆ สลายไป มีเพียงร่างแท้จริงเท่านั้นที่พุ่งกระเด็นออกไปหลายจั้ง
ชายฉกรรจ์หันตัวโดยฉับพลัน คิ้วทั้งสองตั้งตรงขึ้นมา และพ่นแสงสีดำใส่หลิ่วหมิง
แสงสีดำพุ่งออกมาพร้อมด้วยกลิ่นไอที่อันตรายอย่างสุดขีด พริบตาเดียวก็พุ่งไปโจมตีหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นสะท้าน พอสะบัดแขนเสื้อโล่เก้ากะโหลกก็ปรากฏบนมือ และต้นทานแสงสีดำไว้
“เพล้ง!”
หลิ่วหมิงรู้สึกถึงพลังที่ทะลักออกมาอย่างมหาศาลราวกับภูเขาที่ล้มลงกลางทะเล ร่างของเขากระเด็นออกไปราวกับโดนค้อนหนักๆ ปะทะใส่ หลังจากกลิ้งอยู่กลางอากาศหลายที ถึงค่อยๆ หยุดลง ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา
การโจมตีของแสงสีดำนี้แข็งแกร่งมาก ประจักษ์ชัดว่าเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดชิ้นหนึ่ง โชคดีที่ครั้งนี้มีโล่เก้ากะโหลกที่พอจะรับมือไว้ได้
หลังจากหลิ่วหมิงตั้งหลักได้แล้ว ก็จ้องมองออกไป ตอนนี้เขาถึงมองเห็นสภาพแท้จริงของแสงสีดำได้อย่างชัดเจน มันเป็นค้อนหยกดำที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ขณะนี้มันได้พุ่งกลับไปแล้ว แสงสีดำเปล่งประกายและหมุนวนรอบตัวชายฉกรรจ์อยู่ไม่หยุด
หัวค้อนกลมๆ มีอักขระซับซ้อนสลักอยู่เต็มไปหมด และแผ่คลื่นพลังจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งออกมา
ชายฉกรรจ์เห็นหลิ่วหมิงต้านทานการโจมตีนี้ได้ ก็ต้องร้องอุทานเบาๆ อย่างอดไม่ได้
เขารู้ดีว่าการโจมตีของค้อนเล็กนี้แข็งแกร่งมาก แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่แน่ว่าจะสามารถต้านทานได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกผู้น้อยระดับของเหลวผู้นี้ป้องกันได้อีกครั้ง
ชายฉกรรจ์มองโล่บนแขนของหลิ่วหมิง พอเห็นแสงสีดำที่โล่เก้ากะโหลกแผ่ออกมา เขาก็มีแววตาละโมบในทันที
“ฟู่!” เงาร่างสีขาวเงินพุ่งไปด้านหลังชายฉกรรจ์ จากนั้นก็มีเส้นสีดำพุ่งยิงออกมาท่ามกลางเสียงที่ดัง “ฟิ้วๆ!” มันคือแมงป่องกระดูกที่ถูกชายฉกรรจ์สะบัดทิ้งไปนั่นเอง
ชายฉกรรจ์กระตุ้นค้อนเล็กโดยไม่หันหน้า และโจมตีออกไป
แมงป่องกระดูกส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา มันถูกแสงสีดำโจมตีจนกระเด็นออกไป
หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที คิดจะยื่นมือเข้าช่วยก็ไม่ทันการเสียแล้ว ดีที่หลังจากใช้จิตสื่อสารกับมันแล้วพบว่า มันได้รับบาดเจ็บไม่มาก เขาถึงรู้สึกวางใจขึ้นมา
ขณะเดียวกัน หัวบินที่อยู่อีกด้านก็ถือโอกาสที่ชายฉกรรจ์โจมตีแมงป่องจนกระเด็น พุ่งยิงเส้นผมสีเขียวออกไปอีกครั้ง
ชายฉกรรจ์ยิ้มอย่างเยือก มือข้างหนึ่งจับค้อนไว้มั่นและโบกสะบัดออกไป เทียบกับแมงป่องกระดูกแล้ว หัวบินตรงหน้าทำให้เขารู้สึกแค้นเคืองยิ่งกว่า
“ฟู่!” ค้อนเล็กของชายฉกรรจ์พร้อมด้วยแขนของเขาทุบลงไปบนหน้าอกของมนุษย์ยักษ์สีทองจนเกิดเป็นรูขนาดใหญ่
ชายฉกรรจ์รู้สึกอึ้งเล็กน้อย และจ้องมองนักรบยันต์เกราะทองคำตรงหน้าด้วยความตกใจ
ไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงแอบกระตุ้นยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองตั้งแต่เมื่อใด ทั้งยังต้านทานการโจมตีนี้ไว้ได้
พอหัวบินเห็นโอกาสอันดี มันก็หัวเราะ “เคล็กๆ!” จากนั้นก็ปล่อยผมยาวสีเขียวไปรัดพันแขนที่จับค้อนไว้แน่น ขณะเดียวกันนักรบยันต์ผ้าเหลืองก็ขยับแขนในทันที แขนทั้งสองจับแขนชายฉกรรจ์ไว้แน่นราวกับเป็นคีมเหล็ก
ชายฉกรรจ์เห็นฉากเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเยือกเย็นขึ้นมา หลังจากมีเสียงดังกรอบแกรบ แขนของเขาก็ขยายใหญ่เท่าตัว และหวดลงพื้นอย่างรวดเร็ว
“ตู้ม!”
แสงสีดำพุ่งออกจากร่างของนักรบพลังผ้าเหลือง ค้อนเล็กสีดำรวมถึงแขนขวาของชายฉกรรจ์ชกลงบนร่างของมันอย่างรุนแรง
ครึ่งวันต่อมา หลิ่วหมิงก็เปลี่ยนใส่ชุดสีเขียวแล้วกลับไปยังหอร้อยหลอม
พอเขาเหยียบเข้าไปในประตูใหญ่ เถ้าแก่เย่ก็เดินออกมารับด้วยความดีใจ
“เถ้าแก่เย่ไม่ต้องกังวลแล้ว ปีศาจหยินหยางถูกข้ากำจัดไปแล้ว ใช่สิ! ผู้เชี่ยวชาญหัวกลับมาแล้วหรือยัง?” หลิ่วหมิงถามโดยไม่รอให้เถ้าแก่เย่เอ่ยปาก
“ผู้เชี่ยวชาญหัวกลับมาได้ครึ่งวันแล้ว ตอนนี้กำลังนั่งเข้าฌานอยู่ในห้อง ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านฑูตหลิ่วที่ยื่นมือเข้าช่วย” เถ้าแก่เย่รีบโค้งตัวตอบ เห็นได้ชัดว่าดูนอบน้อมกว่าก่อนหน้านั้นมาก
หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินขึ้นไปบนห้องลับชั้นสาม
ภายในห้องโถงชั้นหนึ่ง ลูกน้องหลายคนก็พูดคุยกันด้วยความตกใจระคนดีใจ
“ท่านทูตหลิ่วสังหารปีศาจหยินหยางไปแล้วจริงหรือ? ได้ยินมาว่า แม้คนผู้นี้จะมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นปลาย แต่พลังเทียบเท่ากับระดับผลึก” ชายหนุ่มผู้หนึ่งถามด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“คนระดับท่านทูตไหนเลยจะกล้าโกหกพวกเรา” เถ้าแก่เย่กล่าวดว้ยสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้ารู้สึกแต่แรกแล้วว่า ท่านทูตหลิ่วไม่ใช่คนธรรมดา” ชายหนุ่มอีกคนหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“อย่างไรซะปีศาจหยินหยางก็ถูกสังหารไปแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องหวาดกลัวจนเก็บตัวไม่กล้าออกไปไหนอีกต่อไป” ขณะที่พูดเถ้าแก่เย่ก็แสดงสีหน้าเพื่อบ่งบอกให้คนเหล่านี้กลับไปทำงานด้วย
เพราะเรื่องปีศาจหยินหยางนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ศิษย์ธรรมดาที่จากนิกายมานานอย่างพวกเขาจะสามารถจัดการได้ พวกเขารับผิดชอบแค่ดูแลร้านให้ดีก็พอแล้ว
ห้องลับบนชั้นสาม หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมๆ สีเหลือง
เขาเทโอสถสีเขียวออกจากขวดเล็กๆ มาทานเป็นระยะๆ
สองชั่วยามผ่านไป ใบหน้าขาวซีดของหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ดูมีเลือดฝาดขึ้นมา รอยแผลเล็กๆ บนตัวก็สมานกันอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านั้นเขายังกังวลว่านอกจากชายฉกรรจ์แล้ว ยังมีคนของนิกายปีศาจลึกลับคนอื่นติดตามดวงจิตที่ประทับอยู่ในร่างมาสังหารเขาหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าพอกลับถึงตลาด เส้นสีแดงที่ปีศาจหยินหยางทิ้งไว้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ดูท่าเคล็ดวิชาจับตำแหน่งนี้คงมีผลแค่ครึ่งวันเท่านั้น
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงรู้สึกโล่งใจไปมาก
…………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา