ตอนที่ 560 – ตอนที่ต้องอ่านของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา
ตอนนี้ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 560 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ขณะเดียวกันก็ดีดนิ้วไปกลางอากาศติดต่อกัน ปราณกระบี่โปร่งแสงจำนวนมากพุ่งยิงออกไปรับคมดาบที่กลายร่างมาจากหมอกดำ
“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” คมดาบจำนวนมากพากันระเบิดออกมา
ขณะนั้นเอง มีเสียงดังโครมครามมาจากที่ไกลๆ กลุ่มเมฆดอกเห็ดสีโลหิตพุ่งขึ้นฟ้า
เงาร่างมนุษย์ที่มีปีกสีดำคู่หนึ่งกระโดดขึ้นมา และคว้ามาทางอากาศ มุกแสงสีเงินสลัวๆ พุ่งออกจากหมอกโลหิต และตกลงในมือของเขา
ขณะนี้เงาร่างมนุษย์ถึงกวาดสายตามาทางหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย ตอนนี้เขามองเห็นใบหน้าของเงาดำอย่างชัดเจน ที่แท้ก็เป็นชายหนุ่มชุดดำที่มีใบหน้างดงาม แม้ระหว่างคิ้วจะดูอ่อนเยาว์อยู่ แต่ปีกสีดำตรงหลังโดดเด่นเป็นอย่างมาก และกลับดูดุร้ายเล็กน้อย
“เมื่อครู่ข้าข้าลงมือรุนแรงไปหน่อย คงไม่ได้กระทบโดนสหายใช่ไหม” ชายหนุ่มหุบปีกตรงหลัง และโบกมือมาทางหลิ่วหมิง จากนั้นก็กล่าวในเชิงขอโทษ
“ไม่เป็นไร ดูจากการแต่งตัวของสหาย คงจะคนเผ่าค้างคาวใช่หรือไม่?” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ในเมื่อสหายผู้นี้รู้ว่าข้าเป็นคนเผ่าค้างคาว หรือว่าท่านจะมาจากตลาดฉางหยาง?” ชายหนุ่มชุดดำรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็ลูบศีรษะกล่าวอย่างซื่อๆ
“ข้าน้อยทำการค้ากับร้านค้าของเผ่าท่านอยู่บ้าง” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ท่านก็เป็นสหายเก่าของเผ่าค้างคาวเรา ในเมื่อมีวาสนาต่อกัน ไม่สู้ไปบุกวังมายานภาหยกพร้อมกันดีหรือไม่? ได้ยินมาว่าวังนภาหยกเปิดได้หนึ่งเดือนกว่าแล้ว ระดับความยากก็จะเพิ่มขึ้นด้วย” ชายหนุ่มชุดดำได้ยินก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณความหวังดีของสหาย แต่ข้าน้อยไปมาคนเดียวจนเคยชิน คงไม่ร่วมเดินทางกับสหายแล้ว” ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะเชื้อเชิญให้ไปด้วยกัน แต่หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว กลับปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็จะไม่ฝืนใจท่านแล้ว ข้าน้อยต้องขอตัวไปก่อน ขอสหายรักษาตัวด้วย” ชายหนุ่มชุดดำเผยสีหน้าเสียดายออกมา หลังจากกุมมือคารวะหลิ่วหมิงแล้ว ร่างของเขาก็พร่ามัวกลายเป็นไอดำหายไปในอากาศ
“เคล็ดวิชาหลบซ่อนของเผ่าค้างคาวมีชื่อเสียงสมชื่อจริงๆ” หลิ่วหมิงพูดพึมพำไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็เดินไปยังประตูหินที่อยู่ด้านข้าง
ระยะเวลาในหนึ่งเดือนต่อมา หลิ่วหมิงก็เริ่มพบเจอกับผู้ฝึกฝนคนอื่นอยู่บ่อยๆ
ผู้ฝึกฝนในนั้นมักจะมาผูกไมตรีอย่างอบอุ่นผิดปกติ เพื่อหวังจะหาพวกไปสังหารอสูรมายาระดับที่สูงกว่าด้วยกัน แต่ว่าหลิ่วหมิงไม่เคยคิดจะร่วมเดินทางกับคนอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นย่อมปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
บางคนก็ไม่พูดอะไรออกมา หลังจากแสดงสีหน้าระแวดระวังออกมาแล้ว ก็เดินจากไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
เพราะว่าวังนภาหยกเปิดแค่สามเดือน ดังนั้นในตอนแรกผู้คนทั้งหมดต่างก็ยุ่งอยู่กับการไปสังหารอสูรมายาในวัง เพื่อรวบรวมมุกมาให้ได้มากที่สุด จึงไม่มีใครยุแหย่ฝ่ายตรงข้ามแต่อย่างใด
สามวันต่อมา หลิ่วหมิงมาถึงห้องโถงที่มีแสงสีเขียวสลัวๆ แห่งหนึ่ง
มันแตกต่างจากห้องโถงที่เข้าไปก่อนหน้านั้น ผนังอีกสามด้านของห้องโถงไม่มีประตูหินอยู่ และหลังจากหลิ่วหมิงเข้ามาได้ครู่หนึ่ง แสงสีเขียวก็เปล่งประกายบนประตูตรงทางเข้า จากนั้นก็กระพริบหายไป
เขาขมวดคิ้วสังเกตดูทุกสิ่งที่อยู่รอบด้าน
พอมองทะลุหมอกควันที่หมุนวนเป็นเกลียวรอบด้าน ก็ค้นพบว่าบนผนังหินสีดำทั้งสี่ด้าน มีลวดลายจิตวิญญาณเปล่งประกาย ดูเหมือนว่าจะเสริมชั้นจำกัดพิเศษบางอย่างไว้ ทำให้อากาศรอบด้านผสมปนเปกับพลังกดดันอันหนาแน่น จนรู้สึกแน่นหน้าอกเล็กน้อย
หลิ่วหมิงปล่อยพลังจิตมหาศาลออกไปด้วยสีหน้าระแวดระวัง และเริ่มตรวจสอบอากาศบริเวณรอบๆ
ขณะนั้นเอง เขารู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง เท้าทั้งคู่ดูเหมือนจะถูกพลังไร้รูปบางอย่างยึดติดไว้กับพื้น ขณะเดียวกันคลื่นพลังจิตวิญญาณอันแข็งแกร่ง ก็ทะลักมามาเหนือศีรษะอย่างบ้าคลั่ง
“วิชาแรงดึงดูด?”
หลิ่วหมิงรีบกระตุ้นวิชาตัวเบาด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย ทำให้ร่างของเขาเบากว่าก่อนหน้านั้นหนึ่งเท่ากว่าๆ เท้าทั้งสองแตะลงพื้นอย่างรุนแรง และพุ่งถอยออกไปสิบกว่าจั้ง
“โครมคราม!”
พอร่างหลิ่วหมิงพุ่งออกไป เงาฝ่ามือยักษ์ก็ร่วงลงจากด้านบน และกดลงบนพื้นที่หลิ่วหมิงเคยอยู่อย่างรุนแรง พริบตาเดียวก็เกิดหลุมรูปฝ่ามือที่ลึกจั้งกว่าๆ
ดวงตาหลิ่วหมิงเป็นประกายเล็กน้อย เขาค้นพบว่าชายหนุ่มใบหน้าไร้ความรู้สึกที่อยู่ห่างจากด้านหน้าไปหลายจั้ง กำลังลอยลงมา
ชายหนุ่มสูงพอๆ กับหลิ่วหมิง หน้าตาหล่อเหลา สวมชุดคลุมสีขาวสลัวๆ ไอหมอกสีเทาลอยวนเป็นเกลียวรอบตัว ดูเหมือนจะเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายเช่นกัน
แต่สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงค่อนข้างประหลาดใจก็คือ เขาไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างชัดเจน พอกวาดจิตออกไปก็รับรู้ได้เพียงพลังกดดันที่ขาดๆ หายๆ แต่กลับไม่วี่แววของการมีชีวิตเลย
ชายหนุ่มตรงหน้าดูราวกับเป็นเงาร่างเท่านั้น
“ข้ากับท่านไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เหตุใดถึงลอบโจมตีข้า?” หลิ่วหมิงลองถามหยั่งเชิงดูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
แต่ทว่าชายหนุ่มกลับทำราวกับไม่ได้ยิน สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งคู่ที่ลืมขึ้นมาเล็กน้อยจ้องหลิ่วหมิงด้วยท่าทีแปลกๆ ทันใดนั้นความรู้สึกกดขี่อย่างหนักหน่วงก็แผ่ออกจากร่างของเขา
ขณะนี้หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ความคิดต่างๆ กำลังหมุนวนอยู่ในสมอง และวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
เดิมทีคิดว่าคนผู้นี้เป็นแค่ผู้ฝึกฝนระดับเดียวกับเขาที่เข้ามาในวังนภาหยกแห่งนี้ หรืออาจเป็นผู้ที่คิดจะชิงสมบัติล้ำค่า ถึงได้แอบลอบโจมตีเช่นนี้
แสงสีเขียวพุ่งยิงออกไปรอบด้าน มีเสียงคำรามดังออกมาจากในนั้น ธงสีเขียวกลายเป็นวานรน้อยที่ดูราวกับมีชีวิต
วานรน้อยสูงฉื่อกว่าๆ มีแสงสีเทาสลัวเปล่งประกายรอบตัว บนหัวขนาดเท่ากำปั้นของมันมีลวดลายจิตวิญญาณสีเขียวจางๆ เปลวไฟสีเหลืองในดวงตาทั้งสองลุกไหม้คุโชน ภายใต้การกระตุ้นของชายหนุ่ม มันก็พุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิงพร้อมกับเสียงกรีดร้อง
“นายท่าน ให้ข้าจัดการกับมันเถอะ!”
พอหลิ่วหมิงขมวดคิ้วและกำลังจะลงมือนั้น พลันมีเสียงเด็กผู้ชายดังขึ้นข้างหู ซึ่งก็คือหัวบินที่ออกตัวจะไปรับศึกเอง
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตบเอวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ไอหมอกสีดำลอยออกมา และกลายเป็นศีรษะที่มีขนาดใหญ่ฉื่อกว่าๆ
หัวบินส่งเสียงร้องแปลกประหลาดดังแกร๊กๆ ไอหมอกรอบตัวเริ่มพวยพุ่งขึ้นมา เปลวสีแดงลุกไหม้ในดวงตาทั้งคู่ จากนั้นก็พร่ามัวมาอยู่ตรงหน้าวานรน้อย พอมันสะบัดหัว เส้นผมสีเขียวจำนวนมากก็พุ่งยิงใส่วานรน้อย
แสงสีเขียวเปล่งประกายบนหัวของวานรน้อย พอโบกแขนข้างหนึ่ง คมวายุสีเขียวสลัวๆ ก็เปล่งประกาย และตัดเส้นผมยาวขาดไปจำนวนหนึ่ง
วานรน้อยสีเทาไม่รามือเพียงแค่นี้ แต่กลับชกหมัดออกมาจำนวนมาก ก่อเกิดเป็นพายุบ้าระห่ำม้วนตัวใส่หัวบิน
ดวงตาทั้งคู่ของหัวบินเป็นประกายแวววาว มันพ่นไอหมอกสีเขียวสลัวๆ ออกมากลุ่มหนึ่ง ไอหมอกดำกลายเป็นม่านแสงสีเขียวห่อหุ้มตัวมันไว้
พอพายุบ้าระห่ำสัมผัสกับม่านแสงสีเขียว มันก็กระเด็นออกไปท่ามกลางแสงสีเขียวที่หมุนวน
ขณะที่ทั้งสองรัดพันกันอยู่นั้น หลิ่วหมิงก็หยิบยันต์วิชาตัวเบาออกมา หลังจากแปะไว้บนตัวแล้ว ก็พุ่งเข้าหาชายหนุ่มท่ามกลางพายุสีเขียวที่ห่อหุ้มอยู่
เงาร่างชายหนุ่มเห็นเช่นนี้ ก็ชี้มือข้างหนึ่งใส่หลิ่วหมิงติดต่อกัน ทันใดนั้นไหมดำก็พุ่งออกจากปลายนิ้ว และกระพริบไปหาหลิ่วหมิงทันที
เพียงแค่ร่างของหลิ่วหมิงพร่ามัว ก็หลบการโจมตีของไหมดำได้ พอขยับตัวอีกครั้ง ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าเงาร่างชายหนุ่มอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ มีเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังออกมา พอขยับแขน กำปั้นที่มีไอดำลอยวนก็โจมตีออกไปอย่างโหดเหี้ยม
“ตู้ม!”
เงาร่างชายหนุ่มหลบไม่ทัน ทำได้แค่เอาแขนทั้งสองประสานกันบริเวณหน้าอกด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
หลังจากมีเสียงดังขึ้น เงาร่างชายหนุ่มก็ถูกโจมตีกระเด็นออกไปหลายจั้ง แต่แสงสีขาวรอบตัวเปล่งประกายในทันที จากนั้นก็หายไปจากสายตาของหลิ่วหมิง
………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา