ครู่ต่อมา ไอเย็นเสียดกระดูกก็โจมตีเข้ามา ราวกับทะลุเข้าไปในกระดูกทั่วร่าง ขณะนั้นเอง แสงสีขาวบนตัวเขาก็สว่างและมืดลงอีกครั้ง และไอเย็นเสียดกระดูกก็ลดไปกว่าครึ่งหนึ่ง
หลังจากหลิ่วหมิงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยแล้ว ถึงกวาดสายตาสังเกตดูบรรยากาศรอบด้าน
ทั้งสองด้านของถ้ำเป็นสีดำทั้งแถบ พอใช้จิตกวาดดูก็ดูราวกับว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด ไม่อาจค้นพบความผิดปกติใดๆ ได้
พายุบ้าระห่ำที่ไม่มีวันหมดสิ้นนี้ ดูราวกับพัดมาจากปรโลก ไม่รู้ว่ามันแผ่ขยายไปถึงสถานที่แห่งใด
ผนังถ้ำทั้งสองด้านเป็นหินสีดำ ภายใต้การกัดกร่อนของพายุมานานหลายปี ทำให้ผิวของมันเกลี้ยงเกลาเป็นอย่างมาก แทบมองไม่เห็นรอยตะปุ่มตะป่ำเลย
และบนพื้นที่เขาเหยียบกลับมีภาพค่ายกลประทับอยู่ ตรงกลางมีรอยเว้าขนาดครึ่งฉื่อ มีรูปร่างคล้ายกับป้ายของศิษย์สายในมาก
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วางป้ายลงไป
มีแสงเปล่งประกายบนป้ายทันที แต้มคุณูปการในนั้นถูกหักไปหนึ่งพันแต้ม
ต่อมา หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ไอดำบนตัวพวยพุ่งออกมารอบด้าน มีเสียงแตกหักดังขึ้นภายในร่าง จากนั้นร่างเขาก็ขยายใหญ่หนึ่งส่วน และค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในสถานที่แห่งนี้
เวลาเจ็ดวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว แสงสีขาวจางๆ ที่ผู้เฒ่าชุดขาวใส่ไว้บนตัวหลิ่วหมิงก็ติดๆ ดับๆ
หลังจากวันที่เจ็ดผ่านไปครึ่งวัน แสงสีขาวจางๆ บนตัวหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในขณะเดียวกัน พายุรุนแรงก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า พลังไอเย็นเสียดกระดูกห่อหุ้มอยู่รอบตัว ต่อให้จะมีเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬปกป้องไว้ หลิ่วหมิงก็ยังคงรู้สึกชาด้วยความเจ็บปวด
ความรู้สึกนี้ราวกับถูกมีดไร้รูปที่อยู่ท่ามกลางพายุกรีดไปยังเส้นลมปราณชีพจรต่างๆ และกัดกร่อนภายในร่างของเขา
“พลังวายุสวรรค์นี้ร้ายกาจจริงๆ…..”
ดีที่ว่าหลิ่วหมิงได้เตรียมการไว้ก่อนแล้ว พอกระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ไอดำบนตัวก็พวยพุ่งอย่างบ้าคลั่ง และกลายเป็นมังกรกับพยัคฆ์อย่างละสองตัว หลังจากมังกรพยัคฆ์กระโดดไปกระโดดมาอยู่พักหนึ่ง ก็จมหายเข้าไปในร่างทั้งหมด ทำให้ร่างของเขาขยายใหญ่ขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน และแรงกัดกร่อนของพายุก็ลดลงทันที
ดูท่าหากคนธรรมดาอยู่ที่นี่ต่ออีกครู่เดียว กายเนื้อคงจะถูกกัดกร่อนจนกลายเป็นโคลนไปแล้ว มิน่าล่ะศิษย์ที่ถูกส่งออกไปในก่อนหน้านั้น ถึงได้มีท่าทีกระเซอะกระเซิงเป็นอย่างมาก
และในขณะนี้ เขารับรู้ถึงพลังการโจมตีของพายุกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่ต่อต้านได้อย่างชัดเจน ราวกับว่ากระดูกของมือเท้าทั้งสี่ถูกอะไรบางอย่างค่อยๆ บีบให้ออกจากร่าง
หลิ่วหมิงหยิบโอสถจิตหยวนออกมาทานหนึ่งเม็ด หลังจากสูดหายใจลึกๆ มือทั้งสองก็ทำท่ามืออยู่ไม่หยุด ไอดำบนตัวค่อยๆ พวยพุ่งขึ้นมา และค่อยๆ เริ่มโคจรพลังเวทตามวิธีการที่กล่าวไว้ในเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ใช้พายุชุบร่างกายและล้างไขกระดูก
เวลาสองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ขณะนี้ผิวหนังของหลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ถูกปกคลุมไปด้วยสสารสีเทาเข้มแปลกๆ ทั้งยังรู้สึกเหนียวๆ ด้วย มันแผ่กลิ่นที่บอกไม่ถูกออกมา
หลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองขึ้นมาทันที ไอดำบนตัวที่ดูคล้ายกับหนวดสัมผัสเจ็ดแปดเส้น กระพริบหายเข้าไปในร่าง พอทำท่ามือด้วยมือเดียว วารีกลุ่มหนึ่งก็ชำระตัวเขาจากบนลงล่าง จนสิ่งแปดเปื้อนบนร่างกายหายไปหมดสิ้น
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้น และหยิบป้ายบนค่ายกลขึ้นมา
หลังผ่านไปสิบอึดใจ แสงสีเขียวก็เปล่งประกายจากค่ายกลส่งตัว และร่างของเขาก็มาปรากฏตัวในวิหารหินอีกครั้ง
ภายในห้องโถงยังคงมีศิษย์สายในสามคนนั่งรอคอยอยู่ด้านข้าง เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าเห็นหลิ่วหมิงมาปรากฏตัว ก็รีบลุกขึ้นด้วยความดีใจ
หลิ่วหมิงจัดเสื้อและประสานมือคารวะผู้เฒ่าชุดขาวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ด้วยสีหน้าปกติ จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ออกไปจากวิหารสีดำ
เมื่อหลิ่วหมิงจากไปแล้ว ผู้เฒ่าชุดขาวถึงลืมตาทั้งสองมองดูหลังหลิ่วหมิงด้วยแววตาครุ่นคิด
สิ่งที่หลิ่วหมิงไม่รู้ก็คือ เดิมทีถ้ำวายุสวรรค์แห่งนี้เป็นสิ่งที่ออกแบบมาเพื่อให้ศิษย์สายในชุบร่างล้างไขกระดูก เพิ่มความแข็งแกร่งของกายเนื้อ ต่อให้จะไม่ใช่ผู้ฝึกร่าง แต่แค่อยู่ที่นี่เจ็ดวันโดยมีวิชาจิตวิญญาณลี้ลับคอยช่วยเสริม ก็ทำให้กายเนื้อแข็งแกร่งขึ้นมาไม่น้อย
แต่ศิษย์สายในโดยทั่วไป เมื่อวิชาจิตวิญญาณลี้ลับหายไปหลังเจ็ดวัน มักจะไม่สามารถต้านทานการกัดกร่อนของพายุได้ และก็เลือกที่จะถูกส่งออกมาทันที
แต่ว่าหากยังยืนหยัดอยู่ต่อ ผลลัพธ์ของการชุบร่างก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ็ดวันก่อนจะสามารถเปรียบเทียบได้
และต่อให้จะเป็นผู้ฝึกร่างระดับผลึก ก็พบเจอได้น้อยมากที่จะยืนหยัดอยู่ในถ้ำวายุสวรรค์ได้เกินหนึ่งเดือนขึ้นไป
ด้วยเหตุนี้การที่หลิ่วหมิงอยู่ในนั้นนานถึงสองเดือน ย่อมทำให้ผู้เฒ่าชุดขาวรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
……
หลิ่วหมิงเหยียบเมฆดำค่อยๆ เหาะไปบนอากาศ และกำลังนึกถึงประสบการณ์ในช่วงสองเดือนนี้ด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม
ถ้ำวายุสวรรค์เป็นอย่างที่บันทึกไว้ในคัมภีร์จริงๆ มีผลต่อการฝึกร่างเป็นอย่างมาก
หลังจากผ่านการชุบร่างในถ้ำวายุสวรรค์ สิ่งสกปรกที่ไม่ถูกพบเจอในตอนแรก ก็ถูกขับออกไปจำนวนหนึ่ง พลังเวทก็บริสุทธิ์ขึ้นเล็กน้อย
ที่ทำให้เขารู้สึกดีใจยิ่งกว่าก็คือ คอขวดของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ก็เริ่มมีร่องรอยของการคลายตัวแล้ว
แต่ดูจากสถานการณ์ของเขา ช่วงเวลาสองเดือนก็ถึงขีดจำกัดในการชุบร่างแล้ว หลังจากนั้นก็ค่อยเป็นค่อยไป ถึงจะสำเร็จขั้นตอนการชุบร่างล้างไขกระดูกที่แท้จริง
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ถ้ำนี้สามารถเข้าได้ปีละครั้งเท่านั้น เขาเชื่อว่าเพียงแค่เข้าออกอีกไม่กี่ครั้ง ก็จะฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สามจนสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว
ครึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงกลับมายังถ้ำที่พักในยอดเขาลั่วโยวอีกครั้ง และเริ่มกักตัวในทันที
หลังจากทานโอสถผลึกเย็นไปหนึ่งเม็ดแล้ว ก็เริ่มนั่งขัดสมาธิเข้าฌาน ดูดซับปราณหยิน ชุบหลอมร่างกาย และเตรียมเข้าไปฝึกฝนในถ้ำวายุสวรรค์ครั้งหน้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา