หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
แม้แต่ระดับการฝึกฝนและสถานะของอินจิ่วหลิงกับกู่เจวี๋ย ยังดูเหมือนจะเกรงใจหลวงจีนหนุ่มรูปนี้เป็นอย่างมาก
เรื่องราวเกี่ยวกับเขาถานกวง หลิ่วหมิงเองก็เคยอ่านจากบันทึกในคัมภีร์มาจำนวนหนึ่ง
ว่ากันว่าเขาถานกวงเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทางพระพุทธศาสนา และก็เป็นหนึ่งในกลุ่มอิทธิพลใหญ่ของแผ่นดินจงเทียน แม้ว่าจะไม่ได้มีชื่ออยู่ในอันดับสี่ยอดนิกายใหญ่ แต่ว่ากันว่าพลังที่แท้จริงไม่ได้ด้อยไปกว่าสี่ยอดนิกายใหญ่เท่าไหร่
อีกอย่างพระพุทธศาสนามีต้นกำเนิดมาแต่สมัยบรรพกาล พลังวิเศษบางอย่างในนั้น ทำให้ผู้ฝึกฝนทั่วไปปวดหัวอยู่ไม่หยุด ภายใต้สถานการณ์ปกติ ต่อให้เป็นสี่ยอดนิกายใหญ่ ก็ไม่มีใครอยากจะล่วงเกินหลวงจีนเหล่านี้
ดูจากท่าทีในวันนี้ ชื่อเสียงของเขาถานกวงคงจะเหนือกว่าคำร่ำลือ
พลังอภินิหาริย์ทางพระพุทธศาสนา หลิ่วหมิงก็เคยพบเจอมาหลายครั้ง ช่างลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง นึกถึงเปลวไฟผู่ถัวของราชาปีศาจสมุทรที่เกือบจะทำให้หัวปีศาจยักษ์ได้รับบาดเจ็บ และค่ายกลพุทธะที่เจียหลานแสดงในทะเลหนานไห่แล้ว ยิ่งทำให้เขารู้สึกเป็นทุกข์ไม่น้อย
“สหายอินกล่าวเกินไปแล้ว วันนี้อาตมาเป็นแค่คนกลางเท่านั้น เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้เห็นการแลกเปลี่ยนพลังวิเศษระหว่างทั้งสอง” หลวงจีนหนุ่มกล่าวอย่างถ่อมตน
“เอาล่ะ! พวกเราไม่ต้องมาเยินยอกันเองแล้ว สหายอิน พวกเราตกลงกันว่าวันนี้จะประลองกันที่นี่สามรอบ เพื่อตัดสินว่าใครจะเป็นเจ้าของลูกกวางจิตวิญญาณเก้าสีตัวนั้น คนของท่านที่จะเข้าร่วมประลองก็คือสองคนนี้ใช่หรือไม่?” กู่เจวี๋ยเห็นทั้งสองทักทายกันอย่างอบอุ่น ก็แสดงสีหน้าทนไม่ไหว และเอ่ยปากแทรกขึ้นมา สายตาของเขาก็มองไปยังหลิ่วหมิงทั้งสองที่อยู่ด้านหลัง
“ถูกต้อง เจ้าทั้งสองยังไม่รีบมาคารวะสหายกู่เจวี๋ยอีก” อินจิ่วหลิงกวักมือเรียกทั้งสองโดยไม่พูดอะไรมาก
“คารวะผู้อาวุโสกู่!” หลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่รีบก้าวมาโค้งคารวะอย่างไม่รอรี
“ศิษย์หลานเสี่ยวมีการฝึกฝนระดับผลึก คาดว่าใกล้จะเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้วสินะ สมกับเป็นศิษย์ของอาจารย์ที่มีชื่อเสียงจริงๆ ศิษย์หลานผู้นี้ดูแปลกหูแปลกตาเล็กน้อย เป็นศิษย์ในสังกัดของสหายอินเช่นกันหรือ?” กู่เจวี๋ยสังเกตดูเสี่ยวอู่ทีหนึ่ง หลังจากพยักหน้าแล้ว ก็ละสายตามามองหลิ่วหมิง
“ศิษย์หลิ่วหมิง เพิ่งเข้ายอดเขาลั่วโยวในช่วงหลายปีมานี้” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“ศิษย์หลานหลิ่วก็ฝึกฝนถึงระดับของเหลวอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว มีคุณสมบัติไม่ธรรมดาจริงๆ” กู่เจวี๋ยกล่าวออกมาสองประโยค จากนั้นก็ละสายตามามองเสี่ยวอู่อีกครั้ง
ประจักษ์ชัดว่าผู้แข่งแกร่งระดับแก่นแท้ของสำนักเฮ่าหรานผู้นี้ ยังคงรู้สึกสนใจศิษย์พี่ใหญ่ของยอดเขาลั่วโยวมากกว่าหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ช่างมีสายตาหลักแหลมยิ่งนัก เขายังไม่ได้กระตุ้นพลังเวทเลยแม้แต่น้อย ก็ถูกฝ่ายตรงข้ามเห็นระดับการฝึกฝนของตนเองแล้ว
และขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกงุนงง พอหันหน้าเล็กน้อยก็พบกับสายตาที่เป็นประกายของอวิ๋นกังพอดี
พอหลวงจีนหนุ่มผู้นี้เห็นหลิ่วหมิงมองมา กลับยิ้มให้เล็กน้อย
หลิ่วหมิงรู้สึกอึ้งทันที แต่ก็ยิ้มตอบอย่างสุภาพ
“เอาล่ะ! สหายกู่อย่าพูดจาไร้สาระอีกเลย ข้าได้ยินมาว่าทางท่านเองก็ได้รับศิษย์ที่มีดวงตาแห่งความว่างเปล่ามาคนหนึ่ง คิดว่าวันนี้คงพามาด้วยเช่นกัน” อินจิ่วหลิงให้หลิ่วหมิงทั้งสองถอยกลับไป และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ข่าวสารของพี่อินช่างรวดเร็วยิ่งนัก พวกเจ้าทั้งสองก็มาคารวะผู้อาวุโสนิกายยอดบริสุทธิ์กันหน่อย” กู่เจวี๋ยได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็รีบกล่าวด้วยรอยยิ้มในฉับพลัน
ชายหญิงสองคนที่อยู่ด้านหลังได้ยินเช่นนี้ ก็รีบก้าวเข้ามากุมมือคารวะอินจิ่วหลิง
“ศิษย์ฉินอี้ กู่ฉิน คารวะผู้อาวุโสอิน”
หลิ่วหมิงกวาดสายตาดูทั้งสอง พอมองไปยังศิษย์หญิงผู้นั้น ถึงค้นพบว่านางมีใบหน้าธรรมดา ตาดวงตาทั้งคู่เป็นสีเขียวสลัวๆ แทบจะไม่สามารถแยกแยะรูม่านตากับตาขาวได้ แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
แต่ก่อนเขาก็เคยได้ยินคนพูดถึงเรื่องดวงตาแห่งความว่างเปล่ามาก่อน ดูเหมือนจะเป็นร่างจิตวิญญาณชนิดหนึ่งที่พบเจอได้น้อยมาก พลังของดวงตาแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เชี่ยวชาญในด้านการจับกระแสพลังเวท ได้ชื่อว่าไม่มีวิชาใดสามารถหลบพ้นการมองเห็นของดวงตานี้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อ ‘ดวงตาแห่งความว่างเปล่า’
มีแม้ว่าร่างจิตวิญญาณระดับนี้ ไม่ค่อยได้เปรียบในด้านของการฝึกฝน แต่ในด้านการประลองพลังเวทกลับถือเบี้ยเหนือกว่ามาก
“สหายกู่ ศิษย์ทั้งสองของท่านก็ไม่ธรรมดานี่” อินจิ่วหลิงดวงตาเป็นประกาย และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะ เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เริ่มการประลองกันเถอะ!หลิ่ว” กู่เจวี๋ยค่อยๆ กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ได้! แต่ก่อนอื่นเจ้ากับข้าควรนำเจ้าสิ่งนั้นออกมาก่อน” อินจิ่วหลิงพยักหน้าแล้วกล่าวออกมา
กู่เจวี๋ยย่อมไม่มีข้อคัดค้านแต่อย่างใด
……
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หน้าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งภายในหุบเขา กู่เจวี๋ยกับอินจิ่วหลิง คนหนึ่งถือคทาหยกหนึ่งอัน อีกคนก็คีบป้ายสีเงินอันหนึ่งอยู่ และกำลังร่ายคาถากระตุ้นอยู่ไม่หยุด
คทาหยกกับป้ายพ่นแสงสีขาวและสีเงินใส่ลำต้นบนต้นไม้ใหญ่ ทันใดนั้นคลื่นสั่นสะเทือนไร้รูป ก็ก่อตัวขึ้นรอบต้นไม้ใหญ่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา