“ดี! ดีมาก! คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะบีบข้ามาจนถึงขั้นนี้ได้!”
ราชาโลหิตมองดูมนุษย์โลหิตจิ๋วในมือ และคำรามเสียงที่ดูไม่เหมือนกับเสียงของมนุษย์ออกมา จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอาฆาตแค้น ครู่ต่อมาก็กลืนมนุษย์โลหิตจิ๋วเข้าไป และอ้าแขนทั้งสองออก ทำให้เห็นรูเลือดขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือบนหน้าอกอย่างชัดเจน
“ตู๊ม!”
ใบหน้าของราชาโลหิตกลายเป็นสีแดงเข้มผิดปกติ หมอกโลหิตพวยพุ่งออกจากตัวอย่างบ้าคลั่ง หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว ก็ก่อตัวเป็นพายุสีเลือดอันน่าตกใจ และห่อหุ้มร่างของเขาไว้
มีเสียงระเบิดดังท่ามกลางพายุอย่างต่อเนื่อง ปราณโลหิตรอบด้านที่ยังไม่สลายตัวก็ถูกม้วนไว้ในนั้น อานุภาพของมันแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงรีบสะบัดแขนเสื้อด้วยความตกใจ คมวายุสีเขียวสิบกว่าสายพุ่งยิงออกไป แต่ล้วนจมหายไปในพายุอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกหวาดกลัวมาก ขณะที่ยังไม่ทันได้นำวิธีการอื่นออกมาใช้นั้น พลันมีเสียงฟ้าผ่าท่ามกลางพายุ ทันใดนั้นพายุบ้าระห่ำก็ม้วนตัวสลายไป เผยให้เห็นร่างของราชาโลหิตอีกครั้ง
ราชาโลหิตในขณะนี้ ดวงตาทั้งคู่หลับสนิท ปราณโลหิตรายล้อมรอบตัว และผลึกสีเลือดขนาดเท่าเม็ดถั่วแต่ละเม็ด ก็เกาะผลึกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ภายใต้การส่องสะท้อนของแสงสลัวๆ ในบริเวณนี้ ทำให้มีแสงแปลกประหลาดกระพริบออกมา
พอหลิ่วหมิงเห็นผลึกสีเลือดเหล่านี้อย่างชัดเจน ก็ต้องสูดหายใจด้วยความเย็นสะท้าน สีหน้าของเขาดูไม่ได้ในฉับพลัน
ขณะที่ราชาโลหิตผู้นี้ใกล้จะตาย ไม่รู้ว่ามนุษย์โลหิตจิ๋วที่เขากลืนลงไปนั้นคือสิ่งใด คิดไม่ถึงว่าจะร่วมมือกับเคล็ดวิชาของเขา ทำให้เกาะผลึกขึ้นมาได้
พอหลิ่วหมิงกวาดสายตามองออกไป ก็ค้นพบว่าผลึกสีเลือดเหล่านี้ มีมากถึงเจ็ดสิบสองเม็ด และในช่วงเวลาที่ความคิดของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนั้น มันก็หมุนวนรอบตัวราชาโลหิตหนึ่งรอบ และค่อยๆ จมหายไปในศีรษะอย่างไร้ร่องรอย
ราชาโลหิตลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา ขณะเดียวกันกลิ่นไอบนตัวก็เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง หลังจากส่งเสียงคำรามออกมา มันก็พุ่งเข้าถึงระดับผลึก และพุ่งไปจนถึงระดับผลึกขั้นกลางแล้วถึงหยุดชะงักลง
ขณะเดียวกัน ปราณโลหิตรอบตัวก็ไปล้อมรอบรูเลือดบริเวณหน้าอกของเขา และบาดแผลที่ถูกตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุทำร้าย ก็สมานกลับมาดังเดิมภายในพริบตา
ที่แท้ที่ราชาโลหิตวนเวียนอยู่ในระดับของเหลวขึ้นปลายเป็นเวลานานนับร้อยกว่าปี และไม่เข้าสู่ระดับผลึก ก็เป็นเพราะว่าเขาฝึกฝนเคล็ดวิชาเฉพาะบางอย่างที่อาศัยโลหิต ทำให้ระดับการฝึกฝนของตนเอง ถูกระงับไว้ที่ระดับของเหลวขั้นปลายชั่วคราว ขณะเดียวกัน ก็อาศัยการดูดโลหิตของผู้ฝึกฝนอยู่ไม่หยุด และบ่มเพาะร่างแบ่งที่ผสานเข้ากับโลหิตบริสุทธิ์ของตนเอง แต่พอเคล็ดวิชานี้สำเร็จ ก็จะกลืนกินมนุษย์โลหิตจิ๋วนี้เข้าไป ทำให้สามารถทะลวงคอขวดได้ในทีเดียว และเข้าสู่ระดับแก่นแท้โดยตรง
แต่ในช่วงเวลาสำคัญของชีวิตเช่นนี้ เขาไม่อาจสนใจการฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ได้ แต่กลับกลืนกินเคล็ดวิชาแบ่งร่างในพริบตา ทำให้ตนเองทะลวงคอขวด และเข้าสู่ระดับผลึกขั้นกลางโดยตรง
เพียงแต่ว่าการกระทำเช่นนี้ หากราชาโลหิตจะยกระดับการฝึกฝนอีกครั้ง จะต้องบ่มเพาะมนุษย์โลหิตขึ้นมาใหม่ ซึ่งไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด
พอหลิ่วหมิงรับรู้ได้ถึงการฝึกฝนของราชาโลหิตที่เข้าถึงระดับผลึกขั้นกลาง และบาดแผลก็ยังฟื้นฟูแล้วด้วย เขาก็รู้ดีว่าตนเองไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะอีก
หลังจากสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่หลายครั้ง แสงหรุบหรู่ก็ม้วนตัวออกมา พอขยับตัว ร่างของเขาก็พุ่งยิงใส่ผนังห้องโถงบริเวณนั้นราวกับลูกธนู
ร่างของเขาพุ่งไปยังไม่ทันถึงผนัง ก็ปล่อยกำปั้นชกผ่านอากาศออกไปก่อน
หลิ่วหมิงคิดที่จะทลายกำแพงแล้วหลบหนีลอยนวลไป
ราชาโลหิตเห็นเช่นนี้ ดวงตาก็เปล่งประกายเยือกเย็น เขาคว้ามือข้างหนึ่งไปข้างหน้า ขณะเดียวกัน หมอกโลหิตรอบตัวก็ม้วนตัวพวยพุ่งออกไป
ครู่ต่อมา พลันมีคลื่นก่อตัวบนอากาศเหนือศีรษะหลิ่วหมิง ฝ่ามือสีเลือดขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ ปรากฏออกมา และกางนิ้วทั้งห้าออกก่อนกดลงมา
อากาศรอบด้านหลิ่วหมิงหนาแน่นขึ้นมาทันที ร่างของเขาถูกพลังไร้รูปบางอย่างผูกมัดไว้กลางอากาศ ขณะเดียวกันแรงกดดันมหาศาลก็โจมตีลงบนศีรษะ ดูเหมือนว่าจะด้อยกว่าฝ่ามือของราชาปีศาจเจ้าสมุทรไม่เท่าไหร่
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ทำให้แค่พยายามอ้าปากพ่นโล่กระดูกขนาดเล็กออกไป
พอโล่กระดูกปรากฏตัว มันก็กลายเป็นเมฆดำกลุ่มหนึ่งต้านทานไว้กลางอากาศ
“ตู๊ม!”
เมฆดำเหนือศีรษะถูกกระเทือนจนสลายไป และมีพลังไร้รูปบางอย่างทะลุออกมาโจมตีลงบนตัวหลิ่วหมิงโดยตรง
หลิ่วหมิงส่งเสียงตะโกนออกมา กระดูกภายในร่างส่งเสียงแตกหักดังกร๊อบแกร๊บ จากนั้นก็กระอักเลือด และกระเด็นออกไป
ราชาโลหิตไม่คิดจะยั้งมือเพียงเท่านี้ พอยกมือข้างหนึ่งขึ้น ฝ่ามือโลหิตที่เหมือนกับก่อนหน้าไม่มีผิดก็ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง และตบใส่หลิ่วหมิงที่ยังกระเด็นอยู่อย่างรุนแรง
ตั้งแต่ตอนที่ราชาโลหิตแสดงฝ่ามือออกมา จนถึงตอนที่ใช้ฝ่ามือโจมตีหลิ่วหมิงเป็นครั้งที่สองนั้น ใช้เวลาเพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้น
ขณะนี้ ต่อให้หลิ่วหมิงจะมีความสามารถแค่ไหน ก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้
และด้วยอานุภาพอันน่าหวาดกลัวของฝ่ามือในก่อนหน้านี้ แม้หลิ่วหมิงจะมีกายเนื้อแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ พอถูกโจมตีเช่นนี้ ก็เท่ากับสูญเสียชีวิตไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ขณะที่หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้านนั้น พลันมีน้ำเสียงเยือกเย็นที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยินดังขึ้นข้างหู
“ร่างแปลงปีศาจ……”
หลิ่วหมิงรู้สึกตะลึงงัน ขณะที่เพิ่งจะเข้าใจความหมายนั้น ก็มีเสียง “ตู๊ม!” ดังขึ้นในหูทั้งสองข้าง พริบตานั้นเปลวเพลิงสีดำก็พวยพุ่งออกจากร่าง ขณะเดียวกัน ลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงก็ปรากฏบนส่วนต่างๆ ของร่างกาย
‘ร่างแปลงปีศาจหลิ่วหมิง’ ได้ปรากฏออกมาอีกครั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา