พอแสงกระบี่ดับลง เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิง เขานำแผนที่ออกมา และใช้จิตกวาดดู จากนั้นเท้าทั้งคู่ก็หยุดชะงักในทันที
เขายกมือปล่อยเรือหยกออกมา และกระโดดขึ้นไปบนนั้น จากนั้นก็พุ่งออกไป เป้าหมายคือตลาดที่อยู่ใกล้ที่สุด
ผ่านไปไม่นาน เงาร่างอรชรสีดำก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากพุ่มไม้สูงใหญ่นอกซากโบราณ นางก็คือเซียนหงส์ดำนั่นเอง
นางจ้องมองแสงสีดำที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป และขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนผู้นี้ที่มีชีวิตรอดออกมา เช่นนี้แล้วมีโอกาสแปดในสิบส่วนว่าราชาโลหิตถูกสังหารไปแล้ว พลังของคนผู้นี้ลึกล้ำจนไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ” ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ เซียนหงส์ดำถึงเผยสีหน้าแปลกประหลาด และพูดพึมพำออกมา
แม้ว่าทั้งสองจะนับว่าเป็นยอดฝีมือของผู้ฝึกฝนชั่วร้ายในรุ่นเดียวกัน แต่ใบหน้าของเซียนหงส์ดำในขณะนี้ กลับไม่มีร่องรอยของความเสียใจเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนางยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้ว ก็กลายเป็นไอดำพุ่งไปอีกทิศทางทันที
……
หลังจากเดินทางไปหนึ่งวันหนึ่งคืน หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวในตลาดขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
พอย่างเท้าเข้าไปในตลาด ก็มุ่งไปยังห้องหินที่เป็นที่ตั้งของค่ายกลส่งตัวทันที คนที่ดูแลค่ายกลส่งตัวแห่งนี้ เป็นชายฉกรรจ์วัยกลางคนของนิกายขวานทองคำผู้หนึ่ง
หลังจากผ่านการส่งตัวเช่นนี้ไปสองครั้ง หลิ่วหมิงก็มาถึงตลาดเล็กๆ ที่ดูไม่เตะตาแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์หนึ่งพันกว่าลี้
ตลาดอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง พอมองออกไปรอบด้านล้วนเป็นทรายสีเหลืองไร้ที่สิ้นสุด และใจกลางของตลาดแห่งนี้ เป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์เพียงหนึ่งเดียวในพื้นที่ระยะหลายร้อยลี้ นานวันเข้าก็มีคนมาก่อตั้งตลาดเล็กๆ รอบพื้นที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้
แม้ว่าในตลาดจะมีร้านค้าและโรงเตี๊ยมอยู่หลายแห่ง แต่ผู้คนบนท้องถนนมีอยู่น้อยมาก แต่ทว่านี่เป็นสิ่งที่หลิ่วหมิงต้องการพอดี
เขาหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ และเลือกเอาบ้านพักเดี่ยวหลังหนึ่ง จากนั้นก็วางชั้นจำกัดไว้ในห้องก่อนเข้าไปนั่งขัดสมาธิในห้องลับ และแทบรอไม่ไหวที่จะเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับ
ท่ามกลางห้องว่างเปล่าลึกลับสีเทาสลัวๆ หลัวโหวยืนเอามือไขว้หลังอยู่เงียบๆ ซึ่งอยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไปไม่ไกล ราวกับรู้ว่าเขาจะมา
“ผู้อาวุโสหลัวโหว” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งไปทันที จากนั้นก็ก้าวเข้าไปประสานมือคารวะ
“ครั้งนี้เจ้าทำได้ไม่เลว ครั้งนี้กรงขังดูดซับไอปีศาจแท้ไปไม่น้อย ผนึกได้รับการซ่อมแซมแล้ว เพียงพอที่จะรักษาการทำงานปกติได้กว่าร้อยปี” หลัวโหวมองลงบนตัวหลิ่วหมิง และกล่าวอย่างราบเรียบ
หลิ่วหมิงได้ยินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างอดไม่ได้
ที่หลัวโหวกล่าวเช่นนี้ แสดงว่าภายในหนึ่งร้อยปีให้หลัง เขาจะไม่ถูกปีศาจชิงร่างอีก ในที่สุดก็สามารถฝึกฝนได้อย่างสบายใจแล้ว
เชื่อว่ามีเวลาร้อยแล้ว เขาจะต้องมีการยกระดับเป็นอย่างมากแน่นอน ไม่แน่อาจจะหาวิธีควบคุมความคิดปีศาจได้
“เจ้าอย่าเพิ่งรีบดีใจจนเกินไป ผนึกกรงขังหยุดความเสียหายไว้ชั่วคราวเท่านั้น ไอปีศาจแท้จำนวนแค่นี้ ไม่เพียงพอสำหรับซ่อมแซมผนึก” ดูเหมือนหลัวโหวจะเห็นอาการดีใจของหลิ่วหมิง จึงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ” หลิ่วหมิงได้ยินก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น และพยักหน้าตอบรับ
“นอกจากนี้ยังต้องเตือนเจ้าอีกประโยค ศพที่เจ้าเจอใต้แท่นบูชานั้น เป็นศพของเผ่าปีศาจบรรพกาล ทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ด้วย” หลัวโหวพยักหน้าเล็กน้อย และกล่าวคำพูดที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจออกมา
“อะไรนะ? ผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์?” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
เขาเห็นยอดฝีมือระดับแก่นแท้ในนิกายยอดบริสุทธิ์มามากมาย แต่ระดับดาราพยากรณ์นี้กลับไม่เคยพบมาก่อน ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่มีในตำนานแล้ว
แม้แต่ในแผ่นดินจงเทียน ก็เป็นระดับแปลกประหลาดเก่าแก่ เป็นบุคคลที่เป็นเสาเอกของนิกายใหญ่นับหมื่นปี ไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนโดยง่าย แต่ตัวเขากลับได้ศพของระดับดาราพยากรณ์มา…
พอคิดมาถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็รู้สึกใจเต้นตูมตามอย่างอดไม่ได้ และรู้สึกคอแห้งเล็กน้อย
แต่ทว่าเขาไม่ทันได้เอ่ยปาก หลัวโหวตรงหน้าก็สะบัดแขนเสื้อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก พายุบ้าระห่ำพัดเข้ามา
หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่าตรงหน้ามืดลง และตัวเองก็กลับมาในห้องลับภายในโรงเตี๊ยมอีกครั้ง และอดที่จะค่อนแคะในใจไม่ได้
เดิมทีเขาคิดจะสอบถามหลัวโหวเกี่ยวกับเรื่องศพดาราพยากรณ์นี้สองสามประโยค แต่ดูท่าหลัวโหวคงไม่อยากพูดอะไรกับเขามาก
“ผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์……” หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา ใบหน้าของเขาฉายแววตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้
ต่อให้จะเป็นแค่ศพ แต่มันยังคงมีมูลค่าที่ยากจะคาดเดาได้
หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองไปหนึ่งรอบแล้ว ก็ตัดสินใจรอกลับไปนิกายยอดบริสุทธิ์ก่อน แล้วค่อยหาโอกาสตรวจสอบอีกรอบ
ขณะนั้นเอง ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงพลิกฝ่ามือหยิบกำไลสีดำทั้งสองออกมาถือไว้ในมือ และตรวจสอบดูอย่างละเอียด
ตอนอยู่ในถ้ำ เขาไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด
กำไลคู่นี้เป็นสีดำล้วน นอกจากวางไว้บนมือมันจะเบาดุจขนนก และไม่สามารถรับรู้ถึงน้ำหนักเลยแม้แต่น้อยแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษอีก
หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดอีกรอบ หลิ่วหมิงก็ค้นพบว่าบนกำไลคู่นี้ ไม่มีลวดลายชั้นจำกัดใดๆ สลักอยู่เลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา