พอหลิ่วหมิงหันหน้าไป ก็ค้นพบว่าหญิงสาวชุดเหลืองผู้หนึ่งกำลังเดินมาไม่ไกล ดวงตาทั้งคู่เป็นประกาย ผิวละเอียดเกลี้ยงเกลา เอวบอบบางของนางมีที่คาดเอวสีชมพูคาดอยู่เส้นหนึ่ง
นางก็คือหลงเหยียนเฟยที่เคยพบเจอกับเขาอยู่หลายครั้งนั่นเอง
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่หลง ไม่ได้เจอกันนานเลย” ได้พบกับนางในสถานที่แห่งนี้ หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ประสานมือกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
หลงเหยียนเฟยนับว่าเป็นศิษย์ที่ภาคภูมิใจของยอดเขากระบี่สวรรค์ ไม่เพียงแต่มีใบหน้างดงามราวเทพธิดา การฝึกฝนก็เข้าสู่ระดับผลึกแล้ว นางมีชื่อเสียงในยอดเขากระบี่สวรรค์ไม่น้อย
“ก่อนหน้านั้น ข้าได้ยินมาว่าศิษย์น้องหลิ่วทะลวงระดับผลึกสำเร็จแล้ว เหยียนเฟยยังไม่ได้ไปแสดงความยินดีเลย ศิษย์น้องคงไม่ถือสาข้านะ” หลงเหยียนเฟยยิ้มบางๆ และจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยแววตาหยาดเยิ้ม
“ศิษย์พี่หลงล้อข้าเล่นแล้ว ข้าแค่โชคดีทะลวงระดับได้เท่านั้น” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“ใช่สิ! คนที่ยุ่งอย่างศิษย์น้อง ทำไมวันนี้ถึงมีเวลามายอดเขากระบี่สวรรค์เราได้ล่ะ?” หลงเหยียนเฟยยิ้มบางๆ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที
หลิ่วหมิงเองก็ตอบกลับด้วยสีหน้าสงบ
“บอกศิษย์พี่อย่างไม่ปิดบัง ความจริงแล้วที่ข้ามายอดเขากระบี่สวรรค์ในวันนี้ ก็เพื่อขอวิธีการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ จะได้เตรียมการสำหรับกระบี่บินพลังจิตวิญญาณเล็กน้อย”
“กระบี่บินพลังจิตวิญญาณ? ร่างตัวอ่อนกระบี่? อย่างนี้ก็หมายความว่าศิษย์น้องหลิ่วมีจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่แล้ว คิดที่จะเดินสายกระบี่ในภายหน้าหรือ!” พอหลงเหยียนเฟยได้ยิน ดวงตาของนางก็เป็นประกายราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
“ข้าน้อยบังเอิญโชคดีได้วิธีการหลอมจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่มา อานุภาพก็พอถูไถได้” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว และตอบกลับด้วยสีหน้าปกติ ขณะเดียวกันก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา เงากระบี่เล็กสีขาวจางๆ เล่มหนึ่งค่อยๆ พุ่งออกจากฝ่ามือ และไม่ขยับเขยื้อนใดๆ
หลงเหยียนเฟยหยุดหายใจโดยไม่รู้ตัว นางเพ่งมองจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ที่ปรากฏขาดๆ หายๆ บนมือหลิ่วหมิงตาไม่กะพริบ ผ่านไปสักพัก ดวงตางดงามก็เผยแววผิดหวังออกมา
ที่ผ่านมา นางหาวิธีใกล้ชิดหลิ่วหมิงมาโดยตลอด เพื่อสืบหาตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งที่ลิ่วยินเจินเหรินทิ้งไว้ แต่ว่าจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ตรงหน้าดูอ่อนแอมาก และดูเหมือนเพิ่งจะหลอมสำเร็จได้ไม่นาน ทั้งยังมีรูปร่างแตกต่างจากกระบี่ปราณแกร่งมาก เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่ที่ลิ่วยินบ่มเพาะขึ้นมา
“ผู้ฝึกกระบี่ ไม่อาจฝึกฝนจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่สองชนิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในเวลาเดียวกันได้ ดูท่าศิษย์น้องหลิ่วผู้นี้คงมาได้รับจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ที่บรรพบุรุษทิ้งไว้จริงๆ”
หลงเหยียนเฟยถอนหายใจ แต่ยังกล่าวด้วยสีหน้าเช่นเดิม
“ศิษย์น้องหลอมจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เล่มนี้ได้ นับว่าไม่ธรรมดา น่าเสียดายเวลาที่บ่มเพาะสั้นไปหน่อย พลังจึงค่อนข้างอ่อนแอ ต่อให้จะมีร่างตัวอ่อนกระบี่ที่เหมาะสม ก็ไม่อาจหลอมเป็นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ได้”
“ศิษย์พี่มีสายตากว้างไกลมาก ข้าเองก็ไม่ได้จะหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณในทันที เพียงแค่หาวิธีหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่มาก่อน จากนั้นค่อยไปรวบรวมวัสดุ และค่อยๆ ทำการปรับแต่ง” หลิ่วหมิงกล่าว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องหลิ่วตามข้าไปพบอาจารย์เหลียงสักหน่อย ท่านกำลังดูแลหอคัมภีร์ของยอดเขาเราอยู่พอดี แต่ว่าที่ผ่านมา เคล็ดวิชาฝึกกระบี่ของยอดเขาเรา ไม่เคยเผยแพร่ออกไปภายนอก จะขอได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความโชคดีของศิษย์น้องแล้ว” หลงเหยียนเฟยนึกอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงย่อมกล่าวขอบคุณเป็นธรรมดา
ต่อมาทั้งสองก็เดินพูดคุยเล่นกันจนผ่านบ้านที่จัดเรียงเป็นแถวตรงหน้า จากนั้นก็ผ่านลานกว้างที่อยู่ด้านหลัง และเดินวนในกลุ่มสิ่งก่อสร้างอยู่สองสามรอบ ก็มาถึงตรงหน้าหอสีดำเทาหลังหนึ่ง
บนประตูใหญ่ของหอแห่งนี้มีป้ายขนาดใหญ่แขวนอยู่ มีอักขระสีดำขนาดใหญ่เขียนติดไว้ว่า ‘หอคัมภีร์กระบี่สวรรค์’ ทุกเส้นขีดของอักขระดูเข้มแข็งและทรงพลังเป็นอย่างมาก มีไอดุเดือดรุนแรงไหลพรั่งพรูออกมา
มองเห็นแถวของชั้นหนังสือเป็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ภายในหอ
หลงเหยียนเฟยเดินนำเข้าไปด้านใน
ขณะนี้ หลิ่วหมิงถึงค้นพบว่าหอคัมภีร์ที่ดูไม่เตะตาเมื่อมองจากภายนอกนี้ ด้านในกลับกว้างขวางเป็นอย่างมาก ชั้นหนังสือแต่ละแถวจัดวางอย่างเรียบร้อยบนพื้นหินขัดเรียบ ระหว่างชั้นมีคัมภีร์หลายม้วนซ้อนกันอยู่
แต่ว่าคัมภีร์ทั้งหมดต่างก็ถูกม่านแสงปกคลุมไว้ ประจักษ์ชัดว่าคนนอกไม่อาจแตะต้องได้โดยง่าย
หลงเหยียนเฟยไม่ได้หยุดฝีเท้านานมากนัก แต่กลับเดินตรงไปหน้าบานประตูที่อยู่ด้านใน
“เชิญศิษย์น้องหลิ่วรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะเข้าไปรายงานเกี่ยวกับเจตนาของเจ้าให้อาจารย์ก่อน” หลงเหยียนเฟยกล่าวก่อนเดินเข้าไปด้านใน
หลิ่วหมิงได้แต่ยืนรอด้านนอกอย่างว่าง่าย และสังเกตดูสภาพแวดล้อมอย่างเบื่อหน่าย
หอคัมภีร์แห่งนี้มีขนาดเล็กกว่าหอเก็บคัมภีร์ในนิกายมาก แต่ว่าเก็บกวาดได้เป็นระเบียบเรียบร้อย ชั้นหนังสือแต่ละแถวต่างก็มีเครื่องหมายกำกับไว้ และวางไว้ตามหมวดหมู่ต่างๆ ดูท่าผู้ที่มาประจำการอยู่ที่นี่คงเคร่งครัดและรอบคอบมาก
ด้านข้างของชั้นหนึ่ง มีบันไดไม้สีแดงที่ดูเหมือนจะทอดขึ้นไปบนชั้นสอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าบนหอจะมีคัมภีร์วางอยู่เต็มไปหมดหรือไม่
ไม่นาน หลงเหยียนเฟยก็เดินมาจากด้านใน และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อาจารย์เหลียงกงอยู่ด้านใน ข้าได้บอกเจตนาการมาของเจ้าแล้ว เข้าไปเถอะ!”
“ขอบคุณศิษย์พี่มาก” หลิ่วหมิงพูดขอบคุณไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็เดินเข้าไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา