“ศิษย์คารวะอาจารย์” ประตูใหญ่ของวิหารค่อยๆ เปิดออกมา เผยให้เห็นเงาร่างของหลิ่วหมิง เขาก้าวมาด้านหน้าสองสามก้าว และโค้งคารวะอินจิ่วหลิงจากที่ไกลๆ
“ไม่ต้องมากพิธี ที่เรียกเจ้ามาพบในครั้งนี้ เพราะมีเรื่องหนึ่งอยากถามเจ้า ได้ยินมาว่าเจ้าเคยฝึกฝนเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง แต่ว่าจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ได้ระเบิดตัวทำลายตัวเองไปแล้ว ตอนนี้เกาะผนึกขึ้นมาใหม่ได้แล้วหรือ?” อินจิ่วหลิงโบกมือให้กับหลิ่วหมิง และถามด้วยสีหน้าสงบ
“อาจารย์อินหลักแหลมมาก หลายปีก่อนศิษย์เคยเกาะผนึกจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ได้โดยโชค แต่ไม่นานในขณะที่เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ศิษย์ได้ใช้จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ไปหนึ่งครั้ง” หลิ่วหมิงรู้สึกอึ้งในตอนแรก แต่ก็ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
การเดินทางไปยอดเขากระบี่ในก่อนหน้านั้น เหลียงกงบอกว่าตนเองเป็นสหายสนิทกับอินจิ่วหลิง ด้วยเหตุนี้เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก
“ทั้งยังใช้จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ไปด้วย? เจ้าไม่รู้หรือว่าก่อนใส่เข้าไปในร่างตัวอ่อนกระบี่ ห้ามนำจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ออกจากร่าง? ให้ข้าดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน” อินจิ่วหลิงได้ยินก็ขมวดคิ้วกล่าว
ต่อมา เขาลุกขึ้นจากที่นั่งโดยไม่รอให้หลิ่วหมิงพูดอะไรอีก จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวมาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างหลิ่วหมิงอย่างไร้สุ้มเสียง พอยกแขนขึ้น นิ้วทั้งห้าก็วางลงบนไหล่ข้างหนึ่งของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีไออันเยือกเย็นพุ่งมาจากแขน และไหลไปทั่วเส้นลมปราณต่างๆ อย่างรวดเร็ว
ไม่นานไอเย็นยะเยือกนี้ ถึงพุ่งกลับมา และไหลออกจากแขนเข้าไปในมืออินจิ่วหลิงอีกครั้ง
“จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ในร่างเจ้า ไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งจริงๆ ดูเหมือนว่าอานุภาพก็เหลืออยู่ไม่มาก เช่นนี้ก็หมายความว่าเป็นหนึ่งในตัวอ่อนกระบี่ที่พบเจอได้น้อยจริงๆ ดูท่าเจ้าก็เป็นคนที่โชคดีไม่น้อย ตามที่ข้าทราบมา หลังจากจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่แตกสลายไป ผู้ฝึกกระบี่ที่สามารถเกาะผนึกตัวอ่อนกระบี่เล่มที่สองขึ้นมาได้นั้น มีอยู่น้อยมาก” อินจิ่วหลิงปลดมือออกจากไหล่หลิ่วหมิง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์เองก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีไม่น้อย ดังนั้นจึงเตรียมใช้เวลาฝึกฝนบนเส้นทางสายกระบี่สักหน่อย” หลิ่วหมิงตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เจ้าสามารถเกาะผนึกจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ขึ้นมาใหม่ได้ ย่อมถือเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง แค่เคล็ดกระบี่ปราณแกร่งมีแต่ศิษย์ลับเท่านั้น ถึงมีคุณสมบัติฝึกฝนได้ เดิมทีตอนที่เจ้าเข้านิกาย ทางหอคุมกฎเห็นแก่การที่จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ของเจ้าถูกทำลาย ดังนั้นจึงไม่ได้สืบสาวราวเรื่องในเรื่องนี้ ตอนนี้เกรงว่าจะไม่เหมือนกันแล้ว วันหลังหากมีคนของหอคุมกฎรู้เรื่องเข้า เกรงว่าคงจะมาหาเจ้าถึงที่ได้” หลังจากอินจิ่วหลิงกลับไปนั่งบนเก้าอี้อีกครั้งแล้ว ก็ค่อยๆ กล่าวออกมา
“อาจารย์ ศิษย์…” หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมา และกำลังจะเอ่ยปากจะพูดอะไรบางอย่าง
“ไม่จำเป็นต้องอธิบายแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องกังวลใจเรื่องนี้ด้วย ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์สายในแล้ว ทั้งยังเป็นศิษย์สายตรงของข้าอินจิ่วหลิงด้วย ข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร อาจารย์จะไปอธิบายเรื่องนี้กับหอคุมกฎให้กระจ่าง เจ้าสามารถเกาะผนึกจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ขึ้นมาใหม่ได้ ก็คือเป็นโอสกาสอันดีของเจ้า คงจะไม่มีเรื่องใหญ่อะไรมากนัก” อินจิ่วหลิงกล่าวอย่างราบเรียบ
“ขอบคุณอาจารย์ที่ส่งเสริม” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจอย่างอดไม่ได้
เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกฎข้อบัญญัติของนิกาย ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาเป็นกังวลมาโดยตลอด
หากสามารถจัดการปัญหานี้ได้จริงๆ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย
เช่นนี้ล่ะก็ ภายหน้าเขาก็สามารถแสดงเคล็ดวิชากระบี่ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งต่อหน้าผู้คนร่วมนิกายได้แล้ว
ดูท่าการที่เขากราบตัวเป็นศิษย์ผู้ควบคุมยอดเขาลั่วโยว ก็เป็นการหาที่พึ่งให้ตัวเองได้ไม่เลว
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังรู้สึกดีอกดีใจอยู่นั้น อินจิ่วหลิงก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนามาถามทันที
“หลิ่วหมิง อาจารย์ยังมีอีกเรื่องอยากถามเจ้า ได้ยินมาว่าก่อนหน้านั้นไม่นาน เจ้าเคยไปยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณหนึ่งรอบ และได้รับการยืนยันคุณสมบัติผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถแล้ว มีเรื่องนี้จริงหรือ?”
“เรียนอาจารย์ มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล
“ดีมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะฝึกฝนสายโอสถควบคู่ไปพร้อมกันด้วย เช่นนี้ล่ะก็ ไม่แน่อาจจะมีโอกาสอันดีในอีกไม่ช้าก็ได้” อินจิ่วหลิงหัวเราะฮ่าๆ ออกมา
แม้หลิ่งหมิงจะรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก็แต่ยิ้มตอบกลับไป
จากนั้นอินจิ่วหลิงก็สอบถามหลิ่วหมิงเกี่ยวกับปัญหาที่พบในการฝึกฝนช่วงนี้เล็กน้อย
พอหลิ่วหมิงได้รับโอกาสอันหายากเช่นนี้ ย่อมไม่ปล่อยไปอย่างแน่นอน เขานำข้อสงสัยในใจออกมา และค่อยๆ ถามออกไปทีละข้อ อินจิ่วหลิงก็ตอบทีละคำถามอย่างไม่ปิดบัง
จนเวลาสองชั่วยามผ่านไป
เมื่อตะวันลับฟ้าหลิ่วหมิงถึงกราบลาอาจารย์ผู้นี้ และกลายร่างเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งกลับไปยังถ้ำที่พัก
หลายในต่อมา หลิ่วหมิงที่กำลังนั่งเข้าฌานอยู่ในห้องลับ ก็ได้รับเสียงที่อินจิ่วหลิงส่งมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นคนของหอคุมกฎที่ต้องการพบเขา และสั่งให้เขาไปยังวิหารหลักของยอดเขาลั่วโยวภายในหนึ่งชั่วยาม
หลิ่วหมิงมองดูค่ายกลส่งสารเสร็จแล้ว ก็ออกไปจากถ้ำโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และขี่เมฆไปยังยอดเขาลั่วโยว
ครู่ต่อมา ในวิหารใหญ่ของเรายอดเขาลั่วโยว หลิ่วหมิงที่สวมชุดคลุมสีดำกำลังยืนรออยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ
ครึ่งชั่วยามต่อมา อินจิ่วหลิงกับชายฉกรรจ์ที่มีหนวดเต็มใบหน้า และสวมห่วงสีทองบนศีรษะก็เดินเข้าวิหารมาพร้อมกัน
“หลิ่วหมิง ท่านนี้คือรองหัวหน้าเจ้าของหอคุมกฎ ยังไม่รีบมาคารวะอีก” พออินจิ่วหลิงเห็นหลิ่วหมิง ก็กล่าวดว้ยรอยยิ้ม
“ศิษย์คารวะรองหัวหน้าเจ้า” หลิ่วหมิงได้ยินก็ก้าวไปโค้งตัวคารวะชายฉกรรจ์อย่างไม่รอรี
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี ที่ข้ามาในวันนี้เพียงแค่ตรวจสอบสถานการณ์ของเจ้าเท่านั้น จากนั้นค่อยประกาศการตัดสินของหอเราเกี่ยวกับเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งเป็นครั้งสุดท้าย” ชายฉกรรจ์กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง รองหัวหน้าหอผู้นี้ก็เอามือวางไว้บนไหล่ของหลิ่วหมิง
ทันใดนั้น หลิ่วหมิงก็รู้สึกถึงพลังอันแข็งแกร่งที่พุ่งจากไหล่ และทะลุไปทั่งร่าง ทั้งยังรู้สึกถึงกระแสไอร้อนที่พวยพุ่ง พลังเวทเริ่มโหมซัดซาดขึ้นมา แต่กลับถูกไอร้อนควบคุมไว้ ทำให้เขาไม่อาจกระดิกตัวได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา