เข้าสู่ระบบผ่าน

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 652

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 652 ภารกิจนิกาย
ตอนที่ 652 ภารกิจนิกาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ภายในวิหารหลักของยอดเขาลั่วโยว อินจิ่วหลิงที่สวมชุดคลุมสีเทากำลังนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่บนที่นั่งหลัก

“ศิษย์คารวะอาจารย์” ประตูใหญ่ของวิหารค่อยๆ เปิดออกมา เผยให้เห็นเงาร่างของหลิ่วหมิง เขาก้าวมาด้านหน้าสองสามก้าว และโค้งคารวะอินจิ่วหลิงจากที่ไกลๆ

“ไม่ต้องมากพิธี ที่เรียกเจ้ามาพบในครั้งนี้ เพราะมีเรื่องหนึ่งอยากถามเจ้า ได้ยินมาว่าเจ้าเคยฝึกฝนเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง แต่ว่าจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ได้ระเบิดตัวทำลายตัวเองไปแล้ว ตอนนี้เกาะผนึกขึ้นมาใหม่ได้แล้วหรือ?” อินจิ่วหลิงโบกมือให้กับหลิ่วหมิง และถามด้วยสีหน้าสงบ

“อาจารย์อินหลักแหลมมาก หลายปีก่อนศิษย์เคยเกาะผนึกจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ได้โดยโชค แต่ไม่นานในขณะที่เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ศิษย์ได้ใช้จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ไปหนึ่งครั้ง” หลิ่วหมิงรู้สึกอึ้งในตอนแรก แต่ก็ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว

การเดินทางไปยอดเขากระบี่ในก่อนหน้านั้น เหลียงกงบอกว่าตนเองเป็นสหายสนิทกับอินจิ่วหลิง ด้วยเหตุนี้เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก

“ทั้งยังใช้จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ไปด้วย? เจ้าไม่รู้หรือว่าก่อนใส่เข้าไปในร่างตัวอ่อนกระบี่ ห้ามนำจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ออกจากร่าง? ให้ข้าดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน” อินจิ่วหลิงได้ยินก็ขมวดคิ้วกล่าว

ต่อมา เขาลุกขึ้นจากที่นั่งโดยไม่รอให้หลิ่วหมิงพูดอะไรอีก จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวมาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างหลิ่วหมิงอย่างไร้สุ้มเสียง พอยกแขนขึ้น นิ้วทั้งห้าก็วางลงบนไหล่ข้างหนึ่งของหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีไออันเยือกเย็นพุ่งมาจากแขน และไหลไปทั่วเส้นลมปราณต่างๆ อย่างรวดเร็ว

ไม่นานไอเย็นยะเยือกนี้ ถึงพุ่งกลับมา และไหลออกจากแขนเข้าไปในมืออินจิ่วหลิงอีกครั้ง

“จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ในร่างเจ้า ไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งจริงๆ ดูเหมือนว่าอานุภาพก็เหลืออยู่ไม่มาก เช่นนี้ก็หมายความว่าเป็นหนึ่งในตัวอ่อนกระบี่ที่พบเจอได้น้อยจริงๆ ดูท่าเจ้าก็เป็นคนที่โชคดีไม่น้อย ตามที่ข้าทราบมา หลังจากจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่แตกสลายไป ผู้ฝึกกระบี่ที่สามารถเกาะผนึกตัวอ่อนกระบี่เล่มที่สองขึ้นมาได้นั้น มีอยู่น้อยมาก” อินจิ่วหลิงปลดมือออกจากไหล่หลิ่วหมิง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ศิษย์เองก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีไม่น้อย ดังนั้นจึงเตรียมใช้เวลาฝึกฝนบนเส้นทางสายกระบี่สักหน่อย” หลิ่วหมิงตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน

“เจ้าสามารถเกาะผนึกจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ขึ้นมาใหม่ได้ ย่อมถือเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง แค่เคล็ดกระบี่ปราณแกร่งมีแต่ศิษย์ลับเท่านั้น ถึงมีคุณสมบัติฝึกฝนได้ เดิมทีตอนที่เจ้าเข้านิกาย ทางหอคุมกฎเห็นแก่การที่จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ของเจ้าถูกทำลาย ดังนั้นจึงไม่ได้สืบสาวราวเรื่องในเรื่องนี้ ตอนนี้เกรงว่าจะไม่เหมือนกันแล้ว วันหลังหากมีคนของหอคุมกฎรู้เรื่องเข้า เกรงว่าคงจะมาหาเจ้าถึงที่ได้” หลังจากอินจิ่วหลิงกลับไปนั่งบนเก้าอี้อีกครั้งแล้ว ก็ค่อยๆ กล่าวออกมา

“อาจารย์ ศิษย์…” หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมา และกำลังจะเอ่ยปากจะพูดอะไรบางอย่าง

“ไม่จำเป็นต้องอธิบายแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องกังวลใจเรื่องนี้ด้วย ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์สายในแล้ว ทั้งยังเป็นศิษย์สายตรงของข้าอินจิ่วหลิงด้วย ข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร อาจารย์จะไปอธิบายเรื่องนี้กับหอคุมกฎให้กระจ่าง เจ้าสามารถเกาะผนึกจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ขึ้นมาใหม่ได้ ก็คือเป็นโอสกาสอันดีของเจ้า คงจะไม่มีเรื่องใหญ่อะไรมากนัก” อินจิ่วหลิงกล่าวอย่างราบเรียบ

“ขอบคุณอาจารย์ที่ส่งเสริม” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจอย่างอดไม่ได้

เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกฎข้อบัญญัติของนิกาย ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาเป็นกังวลมาโดยตลอด

หากสามารถจัดการปัญหานี้ได้จริงๆ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย

เช่นนี้ล่ะก็ ภายหน้าเขาก็สามารถแสดงเคล็ดวิชากระบี่ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งต่อหน้าผู้คนร่วมนิกายได้แล้ว

ดูท่าการที่เขากราบตัวเป็นศิษย์ผู้ควบคุมยอดเขาลั่วโยว ก็เป็นการหาที่พึ่งให้ตัวเองได้ไม่เลว

ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังรู้สึกดีอกดีใจอยู่นั้น อินจิ่วหลิงก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนามาถามทันที

“หลิ่วหมิง อาจารย์ยังมีอีกเรื่องอยากถามเจ้า ได้ยินมาว่าก่อนหน้านั้นไม่นาน เจ้าเคยไปยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณหนึ่งรอบ และได้รับการยืนยันคุณสมบัติผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถแล้ว มีเรื่องนี้จริงหรือ?”

“เรียนอาจารย์ มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล

“ดีมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะฝึกฝนสายโอสถควบคู่ไปพร้อมกันด้วย เช่นนี้ล่ะก็ ไม่แน่อาจจะมีโอกาสอันดีในอีกไม่ช้าก็ได้” อินจิ่วหลิงหัวเราะฮ่าๆ ออกมา

แม้หลิ่งหมิงจะรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก็แต่ยิ้มตอบกลับไป

จากนั้นอินจิ่วหลิงก็สอบถามหลิ่วหมิงเกี่ยวกับปัญหาที่พบในการฝึกฝนช่วงนี้เล็กน้อย

พอหลิ่วหมิงได้รับโอกาสอันหายากเช่นนี้ ย่อมไม่ปล่อยไปอย่างแน่นอน เขานำข้อสงสัยในใจออกมา และค่อยๆ ถามออกไปทีละข้อ อินจิ่วหลิงก็ตอบทีละคำถามอย่างไม่ปิดบัง

จนเวลาสองชั่วยามผ่านไป

เมื่อตะวันลับฟ้าหลิ่วหมิงถึงกราบลาอาจารย์ผู้นี้ และกลายร่างเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งกลับไปยังถ้ำที่พัก

หลายในต่อมา หลิ่วหมิงที่กำลังนั่งเข้าฌานอยู่ในห้องลับ ก็ได้รับเสียงที่อินจิ่วหลิงส่งมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นคนของหอคุมกฎที่ต้องการพบเขา และสั่งให้เขาไปยังวิหารหลักของยอดเขาลั่วโยวภายในหนึ่งชั่วยาม

หลิ่วหมิงมองดูค่ายกลส่งสารเสร็จแล้ว ก็ออกไปจากถ้ำโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และขี่เมฆไปยังยอดเขาลั่วโยว

ครู่ต่อมา ในวิหารใหญ่ของเรายอดเขาลั่วโยว หลิ่วหมิงที่สวมชุดคลุมสีดำกำลังยืนรออยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ

ครึ่งชั่วยามต่อมา อินจิ่วหลิงกับชายฉกรรจ์ที่มีหนวดเต็มใบหน้า และสวมห่วงสีทองบนศีรษะก็เดินเข้าวิหารมาพร้อมกัน

“หลิ่วหมิง ท่านนี้คือรองหัวหน้าเจ้าของหอคุมกฎ ยังไม่รีบมาคารวะอีก” พออินจิ่วหลิงเห็นหลิ่วหมิง ก็กล่าวดว้ยรอยยิ้ม

“ศิษย์คารวะรองหัวหน้าเจ้า” หลิ่วหมิงได้ยินก็ก้าวไปโค้งตัวคารวะชายฉกรรจ์อย่างไม่รอรี

“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี ที่ข้ามาในวันนี้เพียงแค่ตรวจสอบสถานการณ์ของเจ้าเท่านั้น จากนั้นค่อยประกาศการตัดสินของหอเราเกี่ยวกับเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งเป็นครั้งสุดท้าย” ชายฉกรรจ์กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง รองหัวหน้าหอผู้นี้ก็เอามือวางไว้บนไหล่ของหลิ่วหมิง

ทันใดนั้น หลิ่วหมิงก็รู้สึกถึงพลังอันแข็งแกร่งที่พุ่งจากไหล่ และทะลุไปทั่งร่าง ทั้งยังรู้สึกถึงกระแสไอร้อนที่พวยพุ่ง พลังเวทเริ่มโหมซัดซาดขึ้นมา แต่กลับถูกไอร้อนควบคุมไว้ ทำให้เขาไม่อาจกระดิกตัวได้

หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเตาหลอมยักษ์ มีกระปุกว่างเปล่าเล็กๆ หลายใบวางอยู่ข้างๆ อย่างไม่ใส่ใจ

ขณะนี้เขากำลังปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณอยู่

ขณะนั้นเอง มีแสงสีเขียวเปล่งประกายพุ่งลงมานอกถ้ำอย่างรวดเร็ว พอแสงสีเขียวดับลง ก็เผยให้เห็นชายหนุ่มสวมชุดศิษย์ดำเนินการของหอคุมกฎที่มีรูปร่างผอมสูงคู่หนึ่ง

ชายหนุ่มผู้นี้ควักยันต์สีขาวออกมาผืนหนึ่ง หลังจากพูดออกมาสองประโยคแล้ว ก็ขยี้จนแตกกระจายกลายเป็นจุดแสงสีขาวก่อนสลายไป

ครู่ต่อมา พลันมีน้ำเสียงราบเรียบของชายหนุ่มผู้นี้ดังขึ้นในหูของหลิ่วหมิง

“ข้าคือเย่โจ่ง ศิษย์ดำเนินการของหอคุมกฎ ศิษย์หลิ่วหมิงจากยอดเขาลั่วโยวจงรีบออกมารับคำสั่ง”

“หอคุมกฎ?”

หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว และนึกถึงฉากที่รองหัวหน้าเจ้าแห่งหอคุมกฎมาพบที่วิหารหลักของยอดเขาลั่วโยวอย่างอดไม่ได้

เขาหยุดแสดงวิชาทันที หลังจากกวาดสายตามองดูเตาหลอมลิ่วเสินตรงหน้า และคำนวณดูแล้วโอสถเตานี้คงยังใช้เวลาอีกสองสามชั่วยาม เขาจึงจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางก่อนเดินออกไป

“ข้าน้อยคือหลิ่วหมิง ไม่ทราบว่าศิษย์พี่ดำเนินการหอคุมกฎผู้นี้ มาเพราะเรื่องอันใด?” หลิ่งหมิงเปิดประตูหินออกมา พอมองเห็นชายหนุ่มร่างผอมสูง เขาก็รีบกุมมือคารวะก่อนถามออกไป

“เจ้าก็คือหลิ่วหมิงหรือ ข้าได้ยินชื่อเสียงของศิษย์น้องหลิ่วมานานแล้ว ครั้งนี้รองหัวหน้าเจ้าระบุชื่อของเจ้าให้ไปทำภารกิจชิ้นหนึ่งให้สำเร็จ หากผ่านล่ะก็จะได้รับแต้มคุณูปการสองแสนแต้ม ทั้งยังนับว่าเป็นการสร้างผลงานใหญ่ให้กับนิกายด้วย” ชายหนุ่มร่างผอมสูงมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ผลงานใหญ่ของนิกาย! สองแสนแต้มคุณูปการ? ไม่ทราบว่าเป็นภารกิจแบบใด หวังว่าศิษย์พี่จะให้ความกระจ่าง” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย

ก่อนหน้านั้นเขายังเป็นทุกข์ว่า ผลงานใหญ่ของนิกายที่รองหัวหน้าเจ้าพูดถึง จะสำเร็จอย่างไรอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าจะมาเร็วเช่นนี้

หรือว่าโอกาสอันดีที่อินจิ่วหลิงพูดถึงในก่อนหน้านั้น จะหมายถึงเรื่องนี้?

“ศิษย์น้องไม่ต้องกังวลไป ผู้อาวุโสระดับสูงที่เป็นศิษย์ลับในนิกายผู้หนึ่ง ต้องการศิษย์ที่เชี่ยวชาญสายกระบี่ และเข้าใจวิชาปรุงโอสถไปทำการทดสอบเล็กน้อยเท่านั้น” ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงอธิบายเล็กน้อย

“ไม่ทราบว่ารองหัวหน้าเจ้า ต้องการให้ข้าไปทำภารกิจนี้เมื่อใด?” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“พรุ่งนี้ตอนเช้า เจ้าไปที่หอคุมกฎก็พอแล้ว รองหัวหน้าเจ้าจะพาเจ้าไปพบผู้อาวุโสระดับสูงท่านนี้ เอาล่ะ! ข้าได้แจ้งเรื่องนี้กับเจ้าไปแล้ว ต้องขอตัวก่อน” ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงพูดอีกเพียงไม่กี่ประโยค หลังจากกุมมือคารวะหลิ่วหมิงแล้ว ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งออกไป

………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา