หลิ่วหมิงชำเลืองตามองแค่ทีเดียว ก็ต้องหดรูม่านตาลงไปทันที
ระเบิดแก่นแท้เป็นวิธีการสุดท้ายของผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ อานุภาพร้ายแรงมาก หากถูกโจมตีโดยตรง ต่อให้จะมีกายเนื้อแข็งแกร่งแค่ไหน อย่างเบาก็แค่บาดเจ็บสาหัส อย่างหนักก็เสียชีวิตได้
และพอแก่นแท้ระเบิดออกมา แม้ว่าผู้ฝึกฝนจะไม่ถึงกับเสียชีวิต แต่ระดับการฝึกฝนก็จะลดลงไปด้วย โอกาสในการหลอมเป็นแก่นแท้ก็จะยากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า
ด้วยเหตุนี้หากไม่ถึงช่วงเวลาอันตรายถึงชีวิต ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ย่อมไม่เลือกที่จะพ่นแก่นแท้ออกมาอย่างแน่นอน
ผู้อาวุโสร่างอ้วนยอมทุ่มขนาดนี้ ย่อมค้นพบว่าพลังของหลิ่วหมิงแข็งแกร่งเกินความคาดหมายของเขา ทั้งยังพอลงมือ ก็โจมตีติดต่อกันไม่หยุดราวกับคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เขารู้สึกตกใจและโมโหจนไม่ทันได้แสดงวิธีการรับมือ และเกือบได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต
ด้วยนิสัยดุร้ายของผู้อาวุโสร่างอ้วน การพ่นแก่นแท้ออกมา ย่อมได้เปรียบในเรื่องของการคุกคามมากกว่าครึ่งหนึ่ง เพียงแค่บีบให้หลิ่วหมิงหยุดการโจมตีได้ เขาก็สามารถเก็บแก่นแท้เข้าไป และแสดงวิชากับอาวุธอื่นๆ ออกมารับมือหลิ่วหมิงได้
ต้นแบบอาวุธเวทบนมือเขาไม่ได้มีแค่ไม้เท้าเท่านั้น เพียงแต่ก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงโจมตีอย่างดุเดือด จึงไม่ทันได้นำชิ้นที่สองออกมา อีกอย่างการกระตุ้นต้นแบบอาวุธเวทพร้อมกัน ทำให้สูญเสียพลังจิตมาก เขาจำเป็นต้องเสริมเคล็ดวิชาให้ตัวเองก่อนถึงจะได้
พอเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้ว ก็ใช่ว่าจะมีต้นแบบอาวุธเวทมากจะยิ่งดี ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้จำนวนมากตั้งใจบ่มเพาะต้นแบบอาวุธเวทประจำตัวแค่ชิ้นเดียว เพื่อที่จะทำให้มันกลายเป็นอาวุธเวทที่แท้จริงในเร็ววัน
ต่อให้ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้จะพกต้นแบบอาวุธเวทอื่นๆ แต่ก็ใช้เป็นอาวุธเสริมเท่านั้น อีกอย่างผู้ฝึกฝนที่มีพลังเวทยิ่งสูง ก็ยิ่งใช้อาวุธเวทเฉพาะอย่างเดียว สำหรับพวกเขาแล้ว ยิ่งบ่มเพาะอาวุธเวทประจำตัวได้มีอานุภาพแข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้หลากหลายรูปแบบ เช่นนี้แล้วมันคุ้มค่ากว่าการเสียพลังไปกระตุ้นอาวุธเวทอื่นๆ มาก
หลิ่วหมิงมองดูแก่นแท้ที่ผู้อาวุโสพ่นออกมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาสองสามที หลังจากมีประกายเยือกเย็นแวบผ่านในดวงตา ร่างของเขาก็พุ่งถอยออกไป และมือทั้งสองก็ทำท่ามืออย่างรวดเร็ว
ไอดำพวยพุ่งออกจากร่างของเขา เกราะหนังสีเงินชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นบนตัว และจุดสำคัญหลายจุดที่อยู่ใต้เกราะหนังก็มีเกล็ดสีม่วงปรากฏออกมา ขณะเดียวกัน พอเขาสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง โล่กระดูกก็พุ่งออกไป หลังจากขยายใหญ่ตามแรงลมแล้ว ก็กลายเป็นโล่ยักษ์ขนาดหลายจั้งตั้งขวางอยู่ตรงหน้า
และในขณะเดียวกัน สายรุ้งสีทองที่กลายร่างมาจากกระบี่บินว่างเปล่ากลับไม่หยุดชะงักเลยแม้แต่น้อย และฟันลงบนมุกสีเขียวท่ามกลางสายตาประหลาดใจของผู้อาวุโสร่างอ้วน
“ไม่!”
ผู้อาวุโสร่างอ้วนส่งเสียงร้องอย่างเวทนา แต่ก็ถูกเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นกลบไว้จนมิด
แสงสีเขียวเจิดจ้าระเบิดออกมาจากมุกสีเขียวกลมๆ ไอสีเขียวจำนวนมากม้วนตัวออกมาอย่างบ้าคลั่ง และม้วนเอาภูเขาทั้งลูกไว้ ต้นไม้ใหญ่ในระยะหลายลี้ถูกถอนขึ้นมาพร้อมราก พื้นดินก็ถูกกรีดเป็นชั้นลึกๆ เศษหินดินทรายกระเด็นไปทั่วทิศ……
ผ่านไปสิบอึดใจกว่าๆ คลื่นสีเขียวก็สลายไปจนหมดสิ้น จากนั้นเงาร่างสีเขียวก็พุ่งออกจากเศษหิน ซึ่งก็คือผู้อาวุโสร่างอ้วนนั่นเอง
แต่ว่าบนตัวของผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ในตอนนี้เต็มไปด้วยบาดแผล ใบหน้าซีดขาวจนมองไม่เห็นเลือดเลยแม้แต่น้อย ระดับการฝึกฝนก็ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับผลึก ขณะนี้เขากำลังหนีบคนผู้หนึ่งไว้ตรงซี่โครง ซึ่งก็คือลี่หวงนั่นเอง
ก่อนหน้านั้นคนผู้นี้ได้หลบหนีไปไกลๆ ตามคำสั่งของผู้อาวุโสร่างอ้วน แต่ก็ไม่ได้ไปไกลมากนัก ยังคงมองดูการต่อสู้อยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปหนึ่งลี้กว่าๆ
ด้วยเหตุนี้เขาย่อมถูกม้วนตัวเข้าไปในการระเบิดตัวของแก่นแท้ แม้ว่าจะโดนแค่เศษคลื่น แต่อาวุธจิตวิญญาณหลายชิ้นที่ป้องกันตัวก็แตกกระจายออกมาโดยที่ไม่อาจต้านทานไว้ได้ จึงได้รับบาดเจ็บสาหัสจนสลบไป
ผู้อาวุโสร่างอ้วนมองดูรอบด้านด้วยความตึงเครียด หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ก็พุ่งหนีไปโดยไม่สนใจอะไรอีก
แต่ขณะนี้เงากระบี่สีทองจางๆ ที่เกือบจะมองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ ก็พุ่งออกจากฝุ่นบริเวณนั้น มันหมุนวนศีรษะผู้อาวุโสร่างอ้วนแค่ทีเดียว ก็พุ่งยิงกลับไป
ผู้อาวุโสร่างอ้วนกลับหยุดชะงักในทันที หลังจากมีเสียงไม่ชัดเจนดังออกจากลำคอสองสามที ศีรษะของเขาก็ร่วงลงจากบ่า เสาโลหิตสูงหลายฉื่อพุ่งออกจากบาดแผล ร่างไร้ศีรษะรวมถึงลี่หวงที่หมดสติร่วงลงมาจากที่สูง และกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง
ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงถึงค่อยๆ พุ่งออกจากฝุ่นบริเวณนั้น
ดูสภาพของเขาแล้วก็ไม่ได้ดีมากนัก ไม่เพียงแต่จะคืนรูปโฉมเดิม เกราะหนังสีเงินบนตัวกับโล่กระดูกตรงหน้าก็มีรอยร้าวอยู่หลายแห่ง
แต่ว่าบริเวณที่เกราะหนังสีเงินได้รับความเสียหาย กลับมีเลือดเนื้อสีชมพูปรากฏออกมาจำนวนมาก และกำลังสมานเข้าด้วยกันอยู่
การระเบิดแก่นแท้ช่างมีอานุภาพน่ากลัวยิ่งนัก!
หากเขาไม่หลบไปจากจุดศูนย์กลางก่อนแล้วปล่อยโล่เก้ากะโหลกออกมา และกระตุ้นวิชาเกราะอสูรล่ะก็ เกรงว่าคงได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
หลิ่วหมิงพุ่งไปด้านหน้า และก้มลงสังเกตดูศพผู้อาวุโสร่างอ้วนทีหนึ่ง ดวงตาของเขาเปล่งประกายแปลกประหลาด และพูดพึมพำออกมาสองสามประโยค
“พ่อลูกผู้พันธ์กันลึกซึ้งจริงๆ หากเจ้าหนีไปทันที ข้าอาจจะฆ่าเจ้าไม่ได้จริงๆ”
แต่ขณะนั้นเอง มีเสียงดัง “ฟิ้ว! แสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากร่างไร้ศีรษะของผู้อาวุโส หลังจากพร่ามัวแล้วก็ไปปรากฏอยู่ห่างออกไปสามสิบกว่าจั้ง และพยายามพุ่งหนีอย่างสุดชีวิต
หลิ่วหมิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น และชี้มือข้างหนึ่งไปบนอากาศ
“ฟิ้ว!”
เกิดคลื่นสั่นสะเทือนเหนือกลุ่มแสงสีเขียว เงากระบี่สีทองจางๆ ปรากฏออกมาอีกครั้ง และแทงทะลุกลุ่มแสงสีเขียวไปในพริบตา
ขณะที่มีเสียงร้องอย่างเวทนาของผู้อาวุโสร่างอ้วนดังออกมา กลุ่มแสงสีเขียวก็ถูกปั่นจนแตกกระจาย
ขณะนั้นเอง ลี่หวงที่หมดสติอยู่ก็กระโดดขึ้นจากพื้นในทันที และขยี้ยันต์บางอย่างในแขนเสื้อจนแตกกระจาย จากนั้นก็พุ่งขึ้นฟ้าท่ามกลางแสงสีเงินที่ห่อหุ้ม และพุ่งหนีไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับผู้อาวุโสร่างอ้วน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา