หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น มังกรหมอกพุ่งออกมา พอโบกมือข้างหนึ่ง มังกรหมอกก็หลุดออกจากร่าง และส่งเสียงคำรามดังแผ่วโผย จากนั้นก็กะพริบหายไปในน้ำ
“ตู๊ม!” ผิวน้ำถูกกระแทกแตกเป็นฟอง!
เงาร่างมนุษย์สีดำพุ่งออกมา และด้านหลังของเขาก็มีมังกรหมอกดำตามไล่อยู่
พอเงามนุษย์สีดำโบกมือ หยดวารีสีขาวก็เปล่งประกายตรงหน้า และค่อยๆ กะพริบลงบนร่างมังกรหมอกดำ หลังจากมีเสียงดังขึ้น มังกรหมอกก็ระเบิดออกมาทันที
“ในที่สุดท่านก็ยอมออกมา ไม่ทราบว่าเหตุใดถึงลอบโจมตีข้า?” พอหลิ่วหมิงโบกมือ มังกรหมอกก็สลายตัวเป็นไอดำม้วนกลับมา และกะพริบเข้าไปในร่างของเขา
ฝ่ายตรงข้ามเป็นชายที่มีรูปร่างค่อนข้างเตี้ยเล็ก สวมชุดดำทั้งตัว เผยให้เห็นแค่ดวงตาสีเขียวเล็กๆ เท่านั้น ดูเหมือนเขาจะนึกไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะถามเช่นนี้ จึงมองมาด้วยความประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
“ดูท่าเจ้าคงเพิ่งมาใหม่ล่ะสิ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มอบวิญญาณมาให้ข้าแต่โดยดีเถอะ!” ชายชุดดำหัวเราะด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง จากนั้นก็คิดที่จะลงมืออีกครั้ง
พอหลิ่วหมิงได้ยินก็มองชายผู้นี้ด้วยแววตาเย้ยหยัน
พอชายชุดดำเห็นสายตาของหลิ่วหมิง ก็รับรู้ถึงสถานการณ์ไม่ดีทันที หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว กลับร่นถอยออกไป
แต่ขณะนั้นเอง แสงสีดำไร้ขอบเขตก็พุ่งออกมาจากด้านหลังหลิ่วหมิง มันม้วนตัวมาข้างหน้าแค่ทีเดียว ก็ปกคลุมอากาศในพื้นที่ระยะหลายสิบจั้งไว้
ชายชุดดำรู้สึกแค่ว่าภาพตรงหน้ามืดลง จากนั้นก็ตกอยู่ในคุกมืด ประสาทสัมผัสทั้งห้าพร่ามัวขึ้นมา ในใจเขาทั้งตกใจและโมโห
แต่คนผู้นี้มีการฝึกฝนระดับแก่นแท้ จึงใจลอยแค่แวบเดียวก็ได้สติกลับมา หลังจากส่งเสียงคำรามด้วยความโมโห ประกายน้ำก็เปล่งประกายบนตัว และระเบิดออกมาทันที ไอน้ำจำนวนไม่น้อยลอยขึ้นมา พริบตาเดียวก็สั่นสะเทือนจนคุกมืดสลายไปอย่างรวดเร็ว
แต่พอเขาเห็นสถานการณ์อย่างชัดเจน ไอเย็นก็ม้วนตัวตรงหน้า ภาพตรงหน้าวิวทิวทัศน์ดูวุ่นวายทันที โลกทั้งใบพลิกคว่ำในฉับพลัน
พริบตาที่ศีรษะของเขาทะลุออกไปนอกคุกมืดนั้น ก็ถูกกระบี่บินสีทองจางๆ ม้วนตัวมาฟันอย่างรวดเร็วจนไม่อาจรับรู้ได้ ทำให้เขาไม่ทันได้รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
“ฟิ้ว!” วิญญาณของเขากลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งขึ้นฟ้าเพื่อคิดจะหลบหนีไปไกลๆ
แต่ทว่ากระบี่บินสีทองจางๆ เพียงหมุนตัวแค่ทีเดียว ก็กลายเป็นปราณกระบี่สีทองอันแน่นขนัด พริบตาเดียวก็แทงวิญญาณดวงนี้จนเกิดรูนับน้อยนับพัน ในที่สุดมันก็สลายไปท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน
ขณะนี้ ภายใต้การโบกมือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิง กระบี่บินสีทองจางๆ ก็พุ่งหายเข้าไประหว่างคิ้วอย่างไร้ร่องรอย
ตั้งแต่เขากระตุ้นพลังคุกมืดจนถึงตอนที่ปล่อยกระบี่บินว่างเปล่าออกไปสังหารฝ่ายตรงข้ามนั้น ใช้เวลาไม่ถึงสามสี่ลมหายใจ
ขณะนี้ ร่างไร้ศีรษะของชายชุดดำก็ร่วงลงด้านล่าง โลหิตที่พุ่งออกมาจากคอทำให้ทิ้งเงาไว้กลางอากาศ
หลิ่วหมิงถอนหายใจยาวออกมา สีหน้าของเขาค่อยๆ ผ่อนคลายลง
ที่เขาสามารถสังหารผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้นได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ตัวเขาเองก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ประการแรก คงเป็นเพราะว่าพลังแท้จริงของชายชุดดำผู้นี้ อยู่ในระดับต่ำสุดของระดับแก่นแท้
ประการที่สอง ฝ่ายตรงข้ามคงคาดเดาพลังแปลกประหลาดของคุกมืด และกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ถึง จึงถูกสังหารในทีเดียวเช่นนี้ มิเช่นนั้น พริบตาที่ชายชุดดำถูกขังอยู่ในคุกมืด เพียงแค่แสดงวิชาป้องกันออกมาก่อน หลิ่วหมิงก็ไม่อาจสังหารเขาได้ง่ายดายเช่นนี้
หลิ่วหมิงคิดวิเคราะห์อยู่ในใจ พอสะบัดแขนเสื้อ ไอดำก็ม้วนตัวออกมา และม้วนเอาศพไร้ศีรษะเข้ามาตรงหน้า
ขณะนั้นเอง ศพของชายผู้นี้ก็พร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นร่างส่วนบนก็กลายเป็นวิหค ส่วนล่างกลายมัจฉาแปลกประหลาด บริเวณหน้าอกเต็มไปด้วยเกล็ดที่มีขนาดเท่าเล็บมือ
“ที่แท้ก็เป็นผู้ฝึกฝนปีศาจ!”
หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา พอโบกมือข้างหนึ่ง ยันต์เก็บของที่ปกคลุมด้วยเกล็ดก็ม้วนออกจากร่างของชายชุดดำ และถูกดูดเข้ามาในมือ เขาปล่อยจิตกวาดดูด้านในเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ต้องส่ายหน้า และเก็บมันเข้าไปด้วยความผิดหวัง
ยันต์เก็บของผืนนี้ นอกจากจะมีหินจิตวิญญาณกับโอสถที่หาได้ทั่วไปจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของอื่นใดที่มีค่าเลย แม้แต่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดเพียงชิ้นเดียวก็ไม่มี
ดูท่าหากไม่ใช่ว่าผู้ฝึกฝนปีศาจผู้นี้ยากจนอย่างถึงที่สุด ก็อาจเป็นไปได้ว่าเป็นพวกที่ยึดมั่นในกรอบที่เก่าคร่ำครึ
จะว่าไปแล้ว เนื่องจากผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจมีพรสวรรค์แตกต่างกัน อายุก็ยืนยาว ทั้งยังมีกายเนื้อแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มาก ด้วยเหตุนี้ดังแต่สมัยบรรพกาลเป็นต้นมา คนเผ่าปีศาจต่างก็รังเกียจการใช้อาวุธจิตวิญญาณ อาวุธเวทที่เป็นพลังภายนอกเช่นนี้ เพราะคิดว่านี่เป็นการเล่นเอาเปรียบ และไม่ใช่เส้นทางการฝึกฝนที่แท้จริง
“ถ้าจะเสียเวลากับสิ่งของภายนอก ไม่สู้เอาเวลาไปฝึกฝนพลังของตนเองจะดีกว่า”
นี่เป็นภาษิตโบราณที่นิยมกันมากในเผ่าปีศาจ ตั้งแต่โบราณมาจนถึงตอนนี้ มีเผ่าปีศาจจำนวนมากที่ยึดเอาความคิดเช่นนี้ ที่จริงมันก็มีเหตุผลอยู่ เพราะพอฝึกฝนจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ร่างของผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจส่วนมากจะเหนือกว่าอาวุธจิตวิญญาณ อาวุธเวททั่วไปแล้ว
แต่ทว่าพอเวลานานเข้านานเข้า ขณะที่ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจนับไม่ถ้วนต่อสู้กับมนุษย์ผู้ฝึกฝนนั้น ต่างก็เสียชีวิตภายใต้อาวุธจิตวิญญาณ และอาวุธเวทของฝ่ายตรงข้ามนับไม่ถ้วน ซึ่งบางส่วนยังมีระดับการฝึกฝนสูงกว่าฝ่ายตรงข้ามด้วยซ้ำ
พอเห็นจนชินหูชินตาเช่นนี้ เผ่าปีศาจจำนวนมากก็ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนความคิด และเริ่มสร้างอาวุธจิตวิญญาณ อาวุธเวทมาเป็นพลังเสริมภายนอก
แต่มาจนถึงทุกวันนี้ ยังคงมีเผ่าปีศาจจำนวนหนึ่งที่ยังคงความคิดในสมัยบรรพกาลอยู่ และไม่ยอมใช้อาวุธจิตวิญญาณอาวุธเวทใดๆ เลย เอาแต่ลำบากฝึกฝนเพื่อทำให้ร่างของตนเองกลายเป็นของล้ำค่าเท่านั้น
หลิ่วหมิงปล่อยลูกเปลวไฟออกมาหลายลูก หลังจากจัดการศพครึ่งวิหคครึ่งมัจฉาได้แล้ว ก็ยืนคิดไตร่ตรองอยู่บนอากาศเงียบๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา