ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 700

สรุปบท ตอนที่ 700 ใจกลางแดนลึกลับ: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 700 ใจกลางแดนลึกลับ – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บท ตอนที่ 700 ใจกลางแดนลึกลับ ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 700 ใจกลางแดนลึกลับ
ตอนที่ 700 ใจกลางแดนลึกลับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากผู้อาวุโสขุยมู่ลงมือสำเร็จ แสงสีเขียวก็เปล่งประกายบนตัว จากนั้นก็กลายร่างเป็นหมาป่ายักษ์สีเขียวที่มีขนาดหลายจั้ง และกลายเป็นเงาร่างพุ่งถอยออกไปติดต่อกัน

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลงอย่างอดไม่ได้ เขาเคลื่อนตัวเข้าใกล้อสรพิษยักษ์สองหัว พอชี้มือข้างหนึ่ง คมวายุสีเขียวเจ็ดแปดสายก็พุ่งยิงไปยังบาดแผลตรงหางของอสรพิษยักษ์

“เต๊งๆ!”

คมวายุส่วนมากฟันลงบนเกล็ดจนแตกกระจาย มีเพียงแค่สายเดียวเท่านั้นที่ดูเหมือนจะพุ่งยิงโดนบาดแผลพอดี “ฟิ้ว!”

ภายใต้ความเจ็บปวด อสรพิษยักษ์สองหัวก็สะบัดหางใส่หลิ่วหมิงอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเงาสีดำ และมีเสียงระเบิดดังขึ้นกลางอากาศเป็นระยะๆ

ร่างของหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวกลายเป็นเงาร่างสามเงา และหลบหลีกไปได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง กระบี่บินสีทองเล่มหนึ่งปรากฏออกมาตรงหน้า แต่พอเขาเปลี่ยนท่ามือ กระบี่บินสีทองก็ม้วนแสงสีทองออกมาห่อหุ้มร่างของตนเองไว้

“กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง!” หลิ่วหมิงคำรามเสียงออกมา ร่างของกลายเป็นแสงกระบี่ขนาดสิบกว่าจั้ง และม้วนตัวไปในอากาศ มันพร่ามัวแค่ทีเดียว ก็ฟันไปยังคอของอสรพิษยักษ์อย่างรวดเร็วปานลมกรด

เห็นได้ชัดว่าอสรพิษรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ จนไม่สนใจจะไล่สังหารผู้อาวุโสขุยมู่ต่อ ทันทีที่มันหันตัวกลับมา หัวทั้งสองก็พ่นลูกเปลวไฟสีแดงกับคมวายุสีม่วงใส่แสงกระบี่ที่พุ่งเข้ามาอย่างบ้างคลั่ง

ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงที่อยู่ท่ามกลางแสงกระบี่กลับเผยรอยยิ้มเยือกเย็นอยู่ครู่หนึ่ง และยังคงกระตุ้นแสงกระบี่พุ่งเข้าใส่ลูกเปลวไฟกับคมวายุ

ครู่ต่อมา อสรพิษสองหัวที่มีลักษณะดุดันก็ม้วนตัวในทันที ทันใดนั้นหางของมันก็นูนขึ้นมา และเคลื่อนไปที่ลำตัวส่วนบนอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มาถึงตรงคอ ขณะเดียวกันก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นเป็นระยะๆ

อสรพิษยักษ์สองหัวส่งเสียงร้องปานใจจะขาด ร่างขนาดมหึมากับหัวทั้งสองดีดดิ้นไปมาอย่างบ้าคลั่ง ดูเหมือนว่าจะได้ความเจ็บปวดอย่างรุนแรง

“ฟู่!” หัวข้างที่ปล่อยลูกเปลวไฟส่ายไปส่ายมา จากนั้นลูกตาสีทองข้างหนึ่งก็ระเบิดออกมาในทันที นักรบชุดเกราะสีทองเล็กๆ ขนาดครึ่งฉื่อพุ่งออกมา

มันคือยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองที่หลิ่วหมิงซ่อนไว้ในคมวายุในก่อนหน้านั้น และปล่อยเข้าไปในบาดแผลตรงหางของมัน พอถูกกระตุ้น มันก็กลายเป็นนักรบยันต์ก่อกวนอยู่ภายในร่างของอสรพิษยักษ์อยู่พักหนึ่ง จากนั้นถึงพุ่งออกมา

ขณะนั้นเอง แสงกระบี่สีทองก็ทะลวงด่านคมวายุกับลูกเปลวไฟมาอยู่ตรงหน้า และกะพริบผ่านบริเวณคอของอสรพิษยักษ์ไป

แม้ว่าอสรพิษยักษ์จะฝืนความเจ็บปวดดิ้นรนเพื่อหลบหลีกอย่างสุดชีวิต แต่ยังคงเกิดรอยแผลตรงจุดเจ็ดชุ่น ทันใดนั้นโลหิตก็ทะลักออกมา

ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสขุยมู่ที่อยู่ไกลๆ คืนร่างเป็นมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ พอเห็นว่าอสรพิษยักษ์ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ก็โบกมือข้างหนึ่งด้วยความดีใจ กริชที่ปักอยู่ด้านข้างอสรพิษยักษ์ถูกดึงออกมา และพร่ามัวหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เกิดคลื่นสั่นสะเทือนบนอากาศบริเวณหัวสีม่วงของอสรพิษยักษ์ กริชสีดำเปล่งประกายออกมา จากนั้นก็กลายเป็นเส้นสีดำกะพริบผ่านไป

“เต๊ง!”

หัวสีม่วงของอสรพิษยักษ์เกิดรูเลือดขนาดใหญ่หนึ่งรู

หัวทั้งสองส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาพร้อมกัน จากนั้นหัวขนาดใหญ่ทั้งสองก็ร่วงพื้นอย่างรุนแรง ลูกตาสีทองทั้งสามกลายเป็นสีเลือดในพริบตา ร่างขนาดมหึมาดีดดิ้นอยู่บนพื้นบริเวณนั้นไม่หยุด

ขณะนั้นเอง แสงกระบี่สีทองที่ม้วนตัวผ่านไปก็วกกลับมาอีกครั้ง และปล่อยแสงสีทองเจิดจ้า

“ฟิ้วๆ!” “ฟิ้ว!” แสงกระบี่สีทองเพียงแค่หมุนวนรอบคออสรพิษยักษ์สองรอบ ก็ตัดหัวขนาดใหญ่ทั้งสองลงมาได้

จากนั้นแสงกระบี่ก็กลายเป็นปราณกระบี่จำนวนมาก และประสานกันไปมาจนหัวทั้งสองกับวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในนั้นถูกปั่นจนละเอียด

ร่างอสรพิษยักษ์ที่ดีดดิ้นอยู่ท่ามกลางบ่อเลือดกระตุกสองสามครั้ง จากนั้นก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก

พอแสงกระบี่ดับลง หลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวบนอากาศบริเวณนั้นพร้อมกับกระบี่ที่ถืออยู่ในมือ หลังจากถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก็ค่อยๆ ร่อนลงด้านข้างร่างไร้หัวของอสรพิษยักษ์

พอโบกมือข้างหนึ่งออกไป ยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองที่มีสภาพเก่าๆ กลางอากาศก็ถูกเก็บเข้ามา จากนั้นก็ควักเอาป้ายอาญาสิทธิ์สีเทาหลายอันกับยันต์เก็บของหนึ่งผืนออกจากตัวอสรพิษยักษ์

หลิ่วหมิงเก็บสิ่งของเหล่านี้เข้าไปโดยไม่ได้ดูอย่างละเอียด จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงไปอย่างรวดเร็ว หลังจากทานโอสถจินหยวนไปหนึ่งเม็ด ก็ทำการฟื้นฟูพลังขึ้นมา

และพอผู้อาวุโสขุยมู่ที่อยู่ไม่ไกลเห็นว่าหลิ่วหมิงสังหารอสรพิษยักษ์แล้ว ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่หลังจากคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว กลับเคลื่อนไหวมาปรากฏตัวข้างหวงอิ๋งตรงบริเวณก้อนหินยักษ์ที่อยู่ไม่ไกล

นางยังคงหลับตานอนหมดสติอยู่บนพื้น

หลังจากผู้อาวุโสขุยมู่ตรวจสอบดูเล็กน้อยแล้ว ก็ควักโอสถจากอกใส่เข้าไปในปากของนาง จากนั้นก็ตบไปที่หลังของนางอีกหลายฝ่ามือ สีหน้าของนางถึงได้ดูดีขึ้นมาเล็กน้อย

ขณะนี้ ผู้อาวุโสขุยมู่ถึงมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงพื้นบริเวณนั้นเช่นกัน เขาหยิบขวดหยกสีขาวออกมา พอเปิดจุกออก ก็อ้าปากสูดของเหลวใสในขวดเข้าไป

พอก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง แสงจิตวิญญาณสีเขียวก็เปล่งประกายบนตัว และกระพริบไปรวมตัวบริเวณแขนที่ขาดอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา

ภายใต้การรวมตัวของแสงสีเขียวบริเวณบาดแผลอย่างหนาแน่น หน่อเนื้อจำนวนมากก็งอกออกมาอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวก็กลายเป็นแขนที่มีสภาพสมบูรณ์ข้างหนึ่ง

ครู่ต่อมา หวงอิ๋งค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น หลังจากมองดูความยุ่งเหยิงรอบ ๆ และศพอสรพิษไร้หัวบนพื้นที่อยู่ไม่ไกลแล้ว ก็มองไปยังผู้อาวุโสขุยมู่กับหลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ และกล่าวด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย

“ข้าใช้ไม่ได้เลยจริงๆ เพิ่งจะแลกมือก็พ่ายแพ้แล้ว โชคดีที่สหายทั้งสองมีพลังล้ำลึก จึงสามารถสังหารมันได้”

“ทั้งหมดนี้เป็นผลงานของพี่หลิ่ว หากไม่ใช่ว่าเขาแสดงวิธีการมหัศจรรย์ออกมาในฉับพลัน และใช้วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งล่ะก็ ไหนเลยจะสำเร็จได้ง่ายเช่นนี้” ผู้อาวุโสขุยมู่ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมากล่าวด้วยรอยยิ้ม

หลิ่วหมิงได้ยินก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรออกมา แต่กลับกลั่นพลังโอสถฟื้นฟูพลังเวทต่อ

“ดูท่าครั้งนี้ ข้าคงโชคดีไม่น้อยที่ได้เจอกับพี่หลิ่ว” หวงอิ๋งละสายตาออกมาและถอนหายใจกล่าว จากนั้นก็ควักโอสถมาทานไปหนึ่งเม็ด และนั่งฟื้นฟูพลังด้วยเช่นกัน

แผนภาพนี้เพียงแค่หมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศ จากนั้นก็พุ่งขึ้นด้านบน

หลังจากมีเสียงดังขึ้นในครู่ต่อมา ลำแสงสีขาวน้ำนมก็ถูกพ่นออกมาหนึ่งลำ และร่วงลงบนพื้นหญ้า

“ตู๊ม!”

พริบตาที่ลำแสงสีขาวน้ำนมสัมผัสกับพื้น มันก็กลายเป็นคลื่นสีขาวสั่นสะเทือนออกไปรอบด้าน

อากาศเหนือพื้นหญ้าบิดเบี้ยวขึ้นมา ภาพวิวทิวทัศน์เปลี่ยนไปในฉับพลัน ม่านแสงแวววาวครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ปรากฏออกมา มันมีขนาดร้อยกว่าหมู่ มีไอหมอกสีเทาลอยอยู่ในนั้น พอกวาดจิตลงไป ก็ไม่อาจทะลุเข้าไปได้เลยแม้แต่น้อย

รอบๆ ม่านแสงมีเสาหินค้ำฟ้าสิบหกต้นที่สูงร้อยกว่าจั้ง มันตั้งล้อมม่านแสงแวววาวไว้

พอมองอย่างละเอียด ปลายเสาแต่ละต้นต่างก็มีภาพตัวประหลาดที่มีหัวเป็นปีศาจร่างเป็นมนุษย์สลักอยู่ตัวหนึ่ง บ้างก็มีลักษณะคล้ายสิงโตดุร้าย บางก็คล้ายเสือดาว บ้างก็คล้ายจระเข้ บ้างก็คล้ายอสรพิษยักษ์ ซึ่งมีลักษณะท่าทางแตกต่างกันไป แต่กลับดูราวกับมีชีวิต

และภาพปีศาจแต่ละตัวต่างก็มีร่องขนาดเท่ากำปั้นอยู่บริเวณหัวใจ ดูจากลักษณะของมันแล้ว มันประกบกับป้ายอาญาสิทธิ์สีเทาในก่อนหน้านั้นได้พอดี

“สถานที่แห่งนี้ก็คือชั้นจำกัดใจกลางแดนลึกลับแล้ว เพียงแค่พวกเรานำป้ายอาญาสิทธิ์ที่ได้มาไปวางไว้ในร่องบนเสาหิน ก็สามารถเข้าไปข้างในได้” ผู้อาวุโสขุยมู่เห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยสีหน้าดีใจอย่างปิดไม่มิด

หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้า และโบกมือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ

ป้ายอาญาสิทธิ์ที่ก่อตัวเป็นแผนภาพในอากาศแยกออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง และกลายเป็นแสงสีเทาพุ่งลงไปด้านล่าง จากนั้นก็จมลงในร่องบนเสาหิน

พอป้ายอาญาสิทธิ์เลี่ยมฝังลงไปหนึ่งอัน ภาพปีศาจบนเสาก็เปล่งประกายออกมา แสงแวววาวพุ่งออกจากบนนั้น และจมหายไปในม่านแสงแวววาวที่อยู่ตรงกลาง ทำให้ไอหมอกสีเทาที่อยู่ด้านในพวยพุ่งอย่างรุนแรง

พอป้ายอาญาสิทธิ์อันสุดท้ายเลี่ยมฝังลงไปนั้น ทุกสิ่งที่อยู่บนอากาศก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในฉับพลัน อากาศที่ดูแจ่มใสกลับปกคลุมไปด้วยเมฆดำ และมีเสียงสายฟ้าดังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ครู่ต่อมา ขณะที่หมอกสีเทาในม่านแสงพวยพุ่งอย่างรุนแรง ม่านแสงแวววาวก็สั่นสะเทือนขึ้นมาทันที

“เพล้ง!”

หลังจากสายฟ้าขนาดใหญ่ฟันลงบนม่านแสงแวววาว มันก็แตกกระจายออกมา

ไอหมอกสีเทาในนั้นม้วนตัวออกไป ชั่วเวลาเพียงแค่สองสามอึดใจ พวกเขาทั้งสามก็จมอยู่ในนั้น

………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา