ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 707

สรุปบท ตอนที่ 707 อีแร้งวายุ: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

อ่านสรุป ตอนที่ 707 อีแร้งวายุ จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 707 อีแร้งวายุ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 707 อีแร้งวายุ
ตอนที่ 707 อีแร้งวายุ
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอมองดูอย่างละเอียด จะเห็นว่าเมฆดำกลุ่มนี้เป็นปีศาจแมลงที่มีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว ท่ามกลางความแน่นขนัด พวกมันมีมากถึงหมื่นกว่าตัว มันปกคลุมท้องฟ้าหนึ่งหมู่กว่าๆ

“ปีศาจริ้น…” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว แสงกระบี่ใต้เท้าเปลี่ยนทิศทางในฉับพลัน ก่อนที่เมฆแมลงสีเทาจะปิดกั้นทางนั้น เขาก็พุ่งตรงออกไป

หลังจากผ่านไปสักพัก ขณะที่แสงหลบหลีกด้านหลังตามมาถึงนั้น กลับต้องเผชิญหน้ากับแมลงจิตวิญญาณที่ขวางอยู่ตรงหน้าพอดี

แสงสายฟ้าเปล่งประกายท่ามกลางแสงหลบหลีกสีม่วงในทันที จากนั้นก็ฝ่าเข้าไปในเมฆดำ ก่อให้เกิดเสียงดัง “เปรี๊ยงๆ!” ไม่หยุด และศพจำนวนมากของปีศาจริ้นก็พากันร่วงลงมา

“เฮ่อๆ! ผู้น้อย หากคิดจะอาศัยปีศาจอสูรเหล่านี้สลัดตัวให้หลุดพ้นจากข้าล่ะก็ ฝันไปเถอะ!”

ผ่านไปไม่กี่อึดใจ แสงหลบหลีกสีม่วงก็พุ่งออกจากเมฆดำด้วยเสียงหัวเราะดังกังวานราวกับเสียงระฆัง

เป็นธรรมดาที่ที่เลี่ยเจิ้นเทียนจะคิดเช่นนี้ แต่ที่หลิ่วหมิงเข้ามาในเทือกเทาจูหลงกลับไม่ใช่เพียงเท่านี้

ครึ่งวันผ่านไป เมื่อทั้งสองเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาจูหลงติดต่อกันนั้น หลิ่วหมิงกลับเริ่มล่อเลี่ยเจิ้นเทียนไปยังสถานที่บางแห่ง

แม้เลี่ยเจิ้นเทียนจะรู้ว่าการกระทำของหลิ่วหมิงในขณะนี้ ดูแปลกประหลาดไปหน่อย แต่กลับกระตุ้นเคล็ดวิชาสายฟ้าโลหิตตามไปอย่างไม่ลังเล เพราะเขามีการฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ ย่อมไม่ต้องกลัวว่าหลิ่วหมิงจะเล่นไม้ไหน

พอรู้สึกว่าไอโลหิตด้านหลังหนาแน่นขึ้นมา หลิ่วหมิงก็กระตุ้นปีกสีเงินอีกครั้งทันที จากนั้นพุ่งไปยังทิศทางบางแห่งด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น

ไม่นานหลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวตรงหน้ายอดเขาสีดำลูกหนึ่ง ด้านล่างยอดเขามีถ้ำสีดำขนาดสิบกว่าจั้ง

“ไม่ผิดจริงๆ ด้วย ดูท่าคงจะเป็นสถานที่แห่งนี้แล้ว” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยุดละงักลงด้วยตาที่เป็นประกาย

การเดินทางเหินเวหาในก่อนหน้านั้น พอมีโอกาสเขาก็จะนำโลหิตปีศาจโคดำระดับแก่นแท้ขวดนั้นออกมาวาดลงบนตัวสองสามขีด ในที่สุดหลายวันก่อนหลังจากใช้โลหิตไปเกือบครึ่งหนึ่ง เขาก็วาดภาพ ‘เชอฮ่วน’ สำเร็จอีกครั้ง

เขาร่ายคาถากระตุ้นเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ในทันที จากนั้นเงาร่างโคดำกึ่งโปร่งแสงก็เปล่งประกายออกจากตัว และหลังจากส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว ก็รวมร่างกับเขาอีกครั้ง ทำให้กลิ่นไอบนตัวดูขาดๆ หายๆ ขึ้นมาทันที

หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็เก็บกระบี่สีทองใต้เท้า และกลายร่างเป็นแสงสีดำจางๆ แฝงตัวเข้ามาไปในถ้ำที่เป็นรังของปีศาจอสูร

ในถ้ำมืดมิดไปทั้งแถบ หลิ่วหมิงปล่อยจิตออกมา และเดินไปยังส่วนลึกอย่างระมัดระวัง

ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป เขาก็มาถึงตำแหน่งตรงใจกลางเขา ภายใต้การกวาดจิตสำรวจดู ก็ค้นพบปีศาจวิหคที่ยึดครองสถานที่แห่งนี้ มันคืออีแร้งวายุสีดำตัวโตเต็มวัยสามตัว

ขณะนี้ปีศาจวิหคทั้งสามกำลังนอนพักผ่อนอยู่บนกองหน้าแห้งกองหนึ่ง

รูปร่างของอีแร้งวายุทั้งสามดูคล้ายอินทรียักษ์ แต่ละตัวมีขนาดสิบกว้าจั้ง กลิ่นไอน่าสะพรึงเป็นอย่างมาก ปีกขนาดใหญ่ทั้งคู่มีสีดำแซมกับสีขาว ขนยาวสามเส้นบนหัวย้อยลงด้านหลัง ลูกตาสีม่วงเข้มทั้งคู่เปล่งแสงสีเขียวเย็นสะท้านออกมา ดูแหลมคมเป็นอย่างมาก

และรอบๆ ตัวของอีแร้งวายุก็มีกระดูกสีขาวเปล่งแสงเรืองรองวางกระจัดกระจายเป็นจำนวนมาก ดูจากขนาดของโครงกระดูกแล้ว มันเป็นปีศาจอสูรที่มีรูปร่างขนาดใหญ่จำพวกหนึ่ง

ตอนแรกที่เขากับอู๋ขุยและคนอื่นๆ ไปล่าราชินีผึ้งห้าแสงที่รังของมันนั้น เคยได้ยินฮวาชิงอิ่งพูดว่าสถานที่แห่งนี้มีปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ครอบครองอยู่สามตัว มีนิสัยดุร้ายเป็นอย่างมาก เพียงแต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นอีแร้งวายุ

ตอนนั้นหลิ่วหมิงเกิดความสนใจ จึงถามออกไปอีกสองสามประโยคอย่างไม่ใส่ใจ ด้วยเหตุนี้จึงรู้ตำแหน่งของมัน

จะว่าไปแล้ว การซ่อนเร้นของเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ไร้นามนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ภายใต้การระมัดระวังของหลิ่วหมิง ปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ทั้งสามกลับไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อย

หลิ่วหมิงร่อนลงตรงมุมหนึ่งถ้ำอย่างไร้สุ้มเสียง จากนั้นก็กระตุ้นเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ และซ่อนตัวอยู่ด้านหลังกองหินสีดำไม่ขยับเขยื้อน โดยที่ไม่มีกลิ่นแผ่ออกไปเลยแม้แต่น้อย

หลังจากเวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งเค่อ แสงสีม่วงที่ดูราวกับสายฟ้าก็ปรากฏตัวนอกถ้ำ และพุ่งเข้ามาด้านในอย่างไม่ลังเล

เกิดเสียงร้องยาวดังขึ้นแผ่วโผย!

อีแร้งวายุในถ้ำค้นพบการบุกรุกของปีศาจสายฟ้าในทันที ขนของมันสั่นสะท้าน และแสดงท่าทีระแวดระวังออกมา พอกระพือปีกทั้งคู่ พายุกระหน่ำก็ก่อตัวขึ้นมา ทำให้ผนังถ้ำเกิดเสียงดังฟู่ๆ และทิ้งร่องรอยขนาดต่างๆ ไว้

แสงสีดำสามลำกะพริบออกจากส่วนลึกของถ้ำ และกลายเป็นปีศาจอสูรขนาดสิบกว่าจั้งสามตัวที่มีลักษณะคล้ายอินทรียักษ์ ครู่เดียวก็ห้อมล้อมปีศาจสายฟ้าที่เพิ่งจะเหยียบเข้ามาในถ้ำได้ไม่นาน

หลังจากหนึ่งในนั้นหุบปีกแล้ว ร่างของมันก็กระโจนเข้าใส่เลี่ยเจิ้นเทียนราวกับกระสวย กรงเล็บแหลมคมขนาดใหญ่คว้าไปยังกะโหลกศีรษะของเขา

ส่วนอีกสองตัวก็ยื่นปากแหลมคมออกมา ขณะเดียวกันก็จิกเข้าใส่ปีศาจสายฟ้าอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ

“ฮึ่!”

พอฝ่ายตรงข้ามโจมตีอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว ปีศาจสายฟ้ากลับแต่ทำเสียงฮึดฮัดออกมา จากนั้นก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาฉับพลัน เสียงสายฟ้าดังก้องอยู่ในมือ พอพลิกฝ่ามือ ลูกสายฟ้าสีม่วงจางๆ ก็ก่อตัวขึ้นมา และพุ่งออกไปทันที

“ตู๊ม!”

ลูกสายฟ้าสีม่วงระเบิดตัวกลางอากาศ แสงสีม่วงเล็กละเอียดจำนวนมากพุ่งยิงออกจากในนั้น พริบตาเดียวก็กลายเป็นตาข่ายยักษ์สีม่วงผืนหนึ่งพุ่งออกไปปกคลุมอีแร้งวายุทั้งสามที่พุ่งเข้ามาไว้

อีแร้งวายุทั้งสามเห็นเช่นนี้ก็หยุดชะงักในทันที ดวงตาของพวกมันฉายแววดุร้ายออกมา ภายใต้การกระพือปีกทั้งสองอย่างรุนแรง ขนวิหคสีดำขาวก็กลายเป็นใบมีดอันแหลมคมพุ่งยิงออกไปจำนวนมาก และปะทะลงบนตาข่ายสายฟ้า

เกิดเสียงระเบิดดัง “ตูมตาม!” แสงสีดำกับสีเขียวประสานเข้าด้วยกัน เสียงฟ้าร้องกับเสียงวิหคแผดร้องดังออกมาพร้อมกัน

หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่าไม่อาจหลบต่อไปได้อีก จึงฉวยโอกาสนำกระบี่บินพลังจิตวิญญาณออกมาในฉับพลัน ภายใต้การม้วนตัวของปราณกระบี่สีทอง มันก็ห่อหุ้มร่างของเขาไว้ และพุ่งออกไปนอกถ้ำ

“เจ้ามนุษย์น้อย ยอมรับความตายซะเถอะ!”

พริบตาที่กระบี่บินพลังจิตวิญญาณปรากฏตัวนั้น เลี่ยเจิ้นเทียนก็รับรู้ได้ในทันที พอเขาส่งเสียงตะโกนออกมา แสงสีม่วงก็ม้วนตัวเขาพุ่งยิงออกไป จากนั้นมือยักษ์สีม่วงขนาดสิบกว่าจั้งข้างหนึ่ง ก็พุ่งออกจากในนั้น และพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่หลิ่วหมิงยังมาไม่ถึงปากถ้ำนั้น มือยักษ์สีม่วงก็ปรากฏอยู่เหนือศีรษะของเขา และกำลังจะกดลงมา

หลิ่วหมิงรับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจนตนเองเกือบจะไม่สามารถหายใจได้ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสีหน้าอย่างบ้าคลั่ง ทำได้แต่รวบรวมพลังเวททั้งหมดจนไอดำพวยพุ่งออกมารอบตัว ท่ามกลางเสียงมังกรพยัคฆ์คำราม มันก็กลายเป็นมังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกอย่างละสี่ตัว

“ตู๊ม!”

พอมังกรหมอกสี่ตัวกับพยัคฆ์หมอกสี่ตัวปะทะกับฝ่ามือยักษ์ มันก็พากันแตกกระจายออกมา และกลายเป็นไอหมอกดำปกคลุมไปทั่วถ้ำ ส่วนมือยักษ์สีม่วงก็สั่นสะท้านเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งผ่านหมอกดำ และฟาดลงใส่หลิ่วหมิงโดยตรง

ในระหว่างเวลานี้ พอแขนทั้งสองของหลิ่วหมิงพร่ามัว แสงจิตวิญญาณหลากสีก็พวยพุ่งเข้าใส่มือยักษ์สีม่วงราวกับสายน้ำที่ไหลย้อนกลับ

แสงจิตวิญญาณเหล่านี้คือยันต์อสรพิษไฟ ยันต์ไหมทองคำ ยันต์หอกน้ำแข็ง และยันต์โจมตีระดับสูงอื่นๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งมีทั้งหมดเจ็ดสิบถึงแปดสิบผืน

ยันต์เหล่านี้ค่อยๆ กลายเป็นเปลวไฟ หอกน้ำแข็ง สายฟ้า และกลุ่มแสงอื่นๆ จนปกคลุมเต็มฟ้า และพุ่งเข้าไปรับมือกับฝ่ามือยักษ์สีม่วง

ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังตูมตาม ในที่สุดฝ่ามือยักษ์สีม่วงก็ยืนหยัดไม่ไหว และแตกกระจายไป

สีหน้าเลี่ยเจิ้นเทียนดูไม่ได้เป็นอย่างมาก พอตะโกนออกมาด้วยความโมโห แสงสีม่วงก็เปล่งประกายบนตัว และพุ่งออกไปโดยตรง

แต่ไอหมอกสีดำที่ปกคลุมเต็มถ้ำก็ดูราวกับมีชีวิต พอมันม้วนตัวแค่ทีเดียว ก็กลืนร่างของเขาเข้าไป พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงสีดำที่มืดมิดราวกับหมึก

มันคือพลังคุกมืดที่หลิ่วหมิงกระตุ้นออกมานั่นเอง

แต่ว่าคุกมืดสามารถยืนหยัดได้เพียงหนึ่งลมหายใจ ก็ถูกแสงสายฟ้าสีม่วงจำนวนมากฉีกทึ้งจนแตกกระจาย

ครู่ต่อมา ปีศาจสายฟ้าที่มีแสงสายฟ้าสีม่วงเจิดจ้าห่อหุ้มก็พุ่งออกมา ตอนนี้เขาดูราวกับเป็นเทพสายฟ้า ให้ความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครสามารถทัดเทียมได้ สีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ แลดูน่ากลัวอย่างถึงขีดสุด

………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา