ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 74

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 74 การแสดงอานุภาพของมังกร
ตอนที่ 74 การแสดงอานุภาพของมังกร
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ศิษย์หลานเฉียน ชุ่ยเอ๋อร์ พวกเจ้ารีบพาคนอื่นๆ ไปจากที่นี่ยิ่งไกลยิ่งดี ห้ามกลับมาอย่างเด็ดขาด” นักพรตวัยกลางคนตะโกนบอกกับศิษย์พี่เฉียนทันที จากนั้นแสงก็ม้วนออกมาจากตัวแล้วพุ่งขึ้นไป ครู่เดียวก็ยืนเคียงบ่ากับหญิงวัยกลางคนและหลวงจีนผู้นั้น

ศิษย์พี่เฉียนเห็นเช่นนี้ ไหนเลยจะยังไม่รู้ว่ามีศัตรูตัวฉกาจที่คาดไม่ถึงกำลังมา ไม่คาดคิดว่าอาจารย์อาจางและอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ได้ยินเสียงแล้วต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป นางรีบสั่งกับชุ่ยเอ๋อร์ทันที

ทั้งสองค่อยๆ ทำท่ามือแสดงวิชาออกมา

ชั่วครู่ เรือสายหมอกที่อยู่นิ่งๆ ก็สั่นไหว กลายเป็นกลุ่มแสงพุ่งออกไป

ในขณะนั้นเอง เสียงร้องแหลมสูงนั้นก็ดังขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าอย่างคาดไม่ถึง

ศิษย์พี่เฉียนกับชุ่ยเอ๋อร์ที่กำลังกระตุ้นเรือสายหมอกอยู่ รู้สึกแค่ว่าหูทั้งสองได้ยินเสียงร้องดังกระหึ่มพลังเวทย์ก็ในร่างก็หยุดชะงักลงไปทันที เรือหมอกที่เพิ่งเหาะออกไปก็สั่นไหวแล้วหยุดลง

สำหรับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางและขั้นต้นคนอื่นๆ ก็ทนไม่ได้จนค่อยๆ ล้มลงไปที่พื้น

เหลือแค่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายสองคนกับหลิ่วหมิงเท่านั้น พวกเขายั่งขัดสมาธิลงตรงดาดฟ้าเรือด้วยสีหน้าซีดเผือด และกระตุ้นพลังภายในต้านทานเสียงร้องแหลมอย่างสุดชีวิต

นักพรตวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ขึ้นมาทันที แต่ร่างกายกลับยืนอยู่ที่เดิมไม่เคลื่อนไหว

ขณะนี้ขอบฟ้าไกลๆ มีพายุที่บ้าคลั่งประทุขึ้นมาอย่างรุนแรง เมฆดำขนาดใหญ่ปรากฏออกมากลางอากาศ และพุ่งมาทางนี้อย่างรวดเร็ว

และเสียงร้องแหลมที่ดังมาจากเมฆดำ ทำให้อาจารย์จิตวิญญาณทั้งสามที่ได้ยินเริ่มปวดหนึบราวกับถูกเข็มแทง จนพวกเขาจำเป็นต้องใช้พลังเวทย์ป้องกันหูทั้งสองไว้

เสียงดัง “โครม!” “โครม!”

ในที่สุดขาทั้งสองของศิษย์พี่เฉียนและชุ่ยเอ๋อร์ก็อ่อนแรงจนล้มลงไป แต่ยังกระตุ้นพลังเวทย์ต่อต้านอย่างสุดชีวิต

ส่วนศิษย์บนเรือสายหมอกคนอื่นๆ นั้นระดับการฝึกฝนค่อนข้างต่ำ หลังจากกรีดร้องออกมาแล้วก็สลบลงไป ขณะเดียวกันก็มีโลหิตสีดำค่อยๆ ไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด[1]

ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายอีกสองคนนั้น หลังจากที่ยืนหยัดอยู่ครู่หนึ่งก็คอเอียงล้มแหงนหน้าลงไป

กลุ่มโจรปล้นสดมภ์ที่ฝึกฝนนอกรีตบนเรือไม้นั้นต่างก็ล้มกองเต็มพื้น

ถึงแม้ใบหน้าหลิ่วหมิงจะขาวซีดสุดขีด ดวงตาทั้งสองปิดสนิท แต่ยังคงนั่งขัดสมาธิทำท่ามืออยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน

ที่เขาทำเช่นนี้ได้ แน่นอนว่าใช้พลังจิตที่เหนือกว่าศิษย์ทั่วไปกับพลังเวทย์ในร่างที่บริสุทธิ์เป็นอย่างมาก

ขณะเดียวกันเขายังใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังของเขา ทำให้พลังจิตแบ่งเป็นสองส่วนเปลี่ยนกันต้านทานเสียงร้องแหลมนี้ พอส่วนหนึ่งของจิตต้านทานไม่ไหว ก็รีบเปลี่ยนให้อีกส่วนมาต่อต้านแทนทันที

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ยังรู้สึกว่าศีรษะของเจ็บปวดราวกับจะแยกออกเป็นสองส่วน

ในขณะที่เขาดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างยากลำบากนั้น เสียงร้องแหลมราวกับสามารถทะลุโลหะและแยกหินออกจากกันได้ ก็ได้หยุดชะงักลง

ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา รีบลืมตามองขึ้นไปบนฟ้าแล้วใจเขาก็เย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

ขณะนี้ เมฆดำขาดใหญ่นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว และอากาศที่อยู่ห่างจากนักพรตวัยกลางคนออกไปร้อยกว่าจั้ง กลับปรากฏปีศาจสูงหลายจั้งที่ท่อนร่างเป็นมนุษย์ท่อนบนเป็นมังกร

ท่อนล่างของปีศาจตนนี้สวมกางเกงยาวหนังสัตว์หลวมๆ ท่อนบนที่เปลือยโล่งมีเกล็ดสีแดงอยู่ทั่วทุกระแหง ขณะเดียวกันหัวมังกรบนคอขนาดใหญ่มีลูกตายักษ์สีเขียวข้างเดียวที่เปล่งประกายอยู่ มันกำลังจ้องมองอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสามด้วยสายตาเยือกเย็น

นักพรตวัยกลางคนและอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ต่างก็พินิจดูอย่างละเอียดอีกรอบ ถึงค้นพบว่าปีศาจครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรนี้มีบาดแผลไปทั่วร่าง ทั้งบนล่างล้วนมีแผลจากคมมีดดาบ ซึ่งแต่ละแผลนั้นบาดลึกเป็นอย่างมาก บาดแผลบางที่ถึงขนาดมองเห็นกระดูกสีขาวอยู่รำไร แต่กลับไม่มีเลือดไหลออกมาสักหยดเดียว

“ที่แท้ก็คือมังกรแดงสื่อสารจิตวิญญาณที่หนีไปจากเงื้อมมือของอาจารย์อาเยี่ยนกับผู้อาวุโสหลิงอวี้! สหายทั้งสองจะสู้หรือจะถอย?” สายตาของนักพรตวัยกลางคนจ้องมองสัตว์ประหลาดด้านหน้าอย่างไม่วางตา แต่ก็ยิ้มที่มุมปากแล้วส่งเสียงออกไป

“หนีหรือ? จะหนีได้เร็วกว่าความไวของมังกรแดงระดับผลึกตนนี้ได้หรือ! ถ้าหากต้องหนีจริงๆ ล่ะก็ พวกเราคงถูกมังกรตนนี้ตามทันอย่างไม่ต้องสงสัย และแต่ละคนคงถูกมันสังหารอย่างง่ายดาย!” หลวงจีนส่งเสียงตอบกลับมา

“ไม่ผิด ถ้าหากสามารถหลบหนีได้พ้นจริงๆ ข้าคงหนีไปเป็นคนแรกแล้ว ใยต้องอยู่ที่นี่ด้วยเล่า แต่จะว่าไปแล้ว ถ้ามังกรสื่อสารจิตวิญญาณตนนี้ฟื้นฟูร่างกายของมันได้ พวกเราที่เผชิญหน้ากับมันคงตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ดูท่าทางที่น่าสังเวชของมันในตอนนี้ สามารถใช้พลังเวทย์ปกป้องร่างของมันได้สองถึงสามในสิบส่วนก็นับว่าไม่เลวแล้ว ภายใต้การประสานมือของเราสามคน ไม่แน่ว่าอาจจะรับมือกับมันได้บ้าง ถ้าหากว่าโชคดีสามารถสังหารมันได้ล่ะก็ ไม่แน่นี่อาจเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ก้าวสู่ระดับผลึกจิตวิญญาณ” หญิงวัยกลางคนจ้องมองมังกรแดง สายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวกลับเปล่งประกายร้อนแรงออกมา

นักพรตวัยกลางคนกับหลวงจีนได้ยินเช่นนี้ ก็ใจเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“ดี ในเมื่อสหายอวี๋คิดที่จะลงมือกับมัน ถ้างอย่างนั้นข้าจะช่วยอีกแรง สหายจาง ท่านล่ะ!” หลวงจีนส่งเสียงตอบกลับไป

“ท่านทั้งสองต่างก็ตัดสินใจแล้ว ข้าจะหนีไปคนเดียวได้อย่างไร แต่ข้าต้องส่งเจ้าเด็กทั้งสองหนีไปก่อนถึงจะตะลุมบอนกับมันได้อย่างเต็มที่” นักพรตวัยกลางคนลังเลเล็กน้อย แล้วก็ได้แต่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น

“ฮึ! นี่มันเวลาไหนแล้ว แค่ศิษย์จิตวิญญาณสองก็ยังจะเป็นห่วงอีก ช่างเถอะ! ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรงละกัน” หลวงจีนกล่าวประชดประชันออกมา นิ้วมือหนึ่งของเขาค่อยๆ ขยับ

หุ่นนักรบหน้าเหี้ยมสองตัวด้านล่างเคลื่อนไหวในทันที และเคียงบ่ากันเหาะพุ่งไปยังเรือสายหมอก

เสียงดัง “ฟู่!”

สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรเพียงแค่ขยับเล็กน้อย ก็เลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ทำให้นักพรตวัยกลางคนและคนอื่นๆ ทำท่าป้องกันด้วยความตกใจ

เสียงดัง “ตู้ม!”

หุ่นนักรบหน้าเหี้ยมตัวหนึ่งที่เหาะไปยังเรือสายหมอก ถูกกรงเล็บเจาะทะลุศีรษะแล้วระเบิดกระจายทันที

สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรที่เพิ่งปรากฏตัวออกมาบริเวณนั้น อ้าปากพ่นลำแสงสีแดงออกมา

เสียงดัง “ฟู่!” หุ่นนักรบหน้าเหี้ยมอีกตัวก็ระเบิดตัวท่างกลางแสงสีแดง

ฉากนี้ทำให้นักพรตวัยกลางคนและคนอื่นๆ ต่างก็สูดลมหายใจเข้าด้วยความเยือกเย็น

“ไม่ต้องสนใจศิษย์ของท่านแล้ว ลงมือเถอะ!” หญิงวัยกลางคนกัดฟันกล่าวออกมาอย่างดุเดือด จากนั้นดึงกระบี่สั้นสีเขียวเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ และโยนขึ้นไปยังอากาศ แล้วเริ่มร่ายคาถาออกมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา