ส่วนหลัวเทียนเฉิงนั้นคำรามเบาๆ คำหนึ่ง มังกรพยัคฆ์ที่มีสีเงินทั่วร่างก็ทยอยระเบิดกลายเป็นเกราะหมอกสีเงินประหนึ่งเนื้อสาร ปกป้องรอบร่างเขาชนิดที่น้ำสักหยดไม่อาจเล็ดลอด
ทั้งสามคนทำทุกสิ่งนี้เสร็จหวุดหวิด เสาแสงสีเงินสภาพประหนึ่งรุ้งก็พุ่งผ่านจุดที่ทั้งสามอยู่ดังครืนอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ชั่วขณะหนึ่งปรากฏจุดที่สีเงินพาดผ่าน พร้อมกับเสียงชือๆ ดังขึ้นต่อเนื่องไม่ขาดสาย!
พื้นดิน ยอดเขา ศิลายักษ์ที่สัมผัสถูกฉับพลันกลายเป็นควันดำลอยล่อง บนพื้นดินเหลือไว้เพียงร่องลึกกว้างหลายจั้งเส้นหนึ่ง
ครู่ต่อมาเมื่อบุรุษหน้าเหยี่ยวเก็บสองแขนไป เงากระจกสีเงินนับร้อยบานพลันส่องแสงสีเงินวูบหนึ่งจากนั้นทยอยหดเข้ามาตรงกลางกลายเป็นกระจกหกเหลี่ยมสีเงินเล็กบานหนึ่ง จากนั้นเขาก็อ้าปากกลืนลงท้องไปในคำเดียว
แสงสีเงินสว่างดับลงปุบ เสียงตุ้บสองครั้งก็ดังขึ้นท่ามกลางฝุ่นควัน ศพดำเกรียมขาดแหว่งไม่ครบร่างสองศพปรากฏขึ้นในหลุมลึก ดูจากเศษเสื้อผ้ากับร่างกายที่หลงเหลืออยู่ยังคงมองออกว่าเป็นบุรุษผู้สะพายกระบี่กับศิษย์ผอมสูงคนนั้น
ทั้งสองคนตอนนี้เหลือเพียงครึ่งร่างประหนึ่งถูกเพลิงร้อนแผดเผา อาวุธจิตวิญญาณในมือไม่เห็นร่องรอย
ศิษย์หัวกะทิสายในของนิกายยอดบริสุทธิ์สองคนยังไม่ทันได้ใช้กำลังต่อต้านสักนิดก็ตายสนิทอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเช่นนี้ กระทั่งดวงจิตสักเสี้ยวก็ยังไม่อาจหนีออกมาได้ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนตกตะลึงมากจริงๆ
เวลานี้เองหลังเสียงคำรามสายหนึ่ง เงาคนอีกร่างหนึ่งพลันพุ่งทแยงดิ่งลงมาจากกลางฝุ่นควันเต็มท้องฟ้า หลัวเทียนเฉิงคนผู้นี้นี่เอง
ทว่าเขาในเวลานี้ดูไปแล้วได้รับบาดเจ็บไม่เบาเช่นกัน แขนขวาทั้งข้างจนถึงหัวไหล่หายวับไปแล้ว ผิวหนังกว่าครึ่งร่างก็ดำเป็นตอตะโก
หลังหลัวเทียนเฉิงปลิวออกไปไกลหลายจั้งก็รีบใช้เคล็ดวิชาด้วยมือข้างเดียว พลังจิตวิญญาณทั้งร่างเพิ่มพูนขึ้นจนหวุดหวิดตั้งร่างมั่นคงได้ เขาสูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง ทั้งร่างก็เปล่งแสงสีเงินวิบวับอีกครั้ง ร่างกายที่ถูกเผาทำลายฉับพลันมีเส้นเรียวเล็กสีเงินมากมายลอยออกมา ตรงแขนที่ขาดก็มีติ่งเนื้อเกิดใหม่นับไม่ถ้วนขยับดุกดิกไม่หยุด
การโจมตีเมื่อครู่ของบุรุษหน้าเหยี่ยวเห็นชัดว่าผลาญปราณไปไม่น้อย หลังเห็นสภาพเช่นนี้ของหลัวเทียนเฉิง ในใจก็ครั่นคร้ามเช่นกัน เขาไม่ได้ใช้การโจมตีอื่นใดออกมาอีกในทันที เพียงไพล่มือไปข้างหลังลอยอยู่กลางอากาศ ปล่อยให้สายลมเย็นยะเยือกพัดตีชุดสีเขียว
ในเวลาเดียวกันนี้กลับมีไอหมอกสีเทาต่อเนื่องไม่ขาดสายลอยออกมาจากศพขาดแหว่งสองร่างในหลุมมหึมาบนพื้น แล้วถูกโซ่เส้นน้อยบนข้อมือเขาเก็บไปไว้ข้างใน
ผ่านไปเจ็ดแปดลมหายใจร่างกายของหลัวเทียนเฉิงก็ฟื้นกลับมาดังเดิมอีกครั้ง ปากแผลทั้งหมดผสานกันสนิทจนมองไม่เห็นแล้ว ถึงขนาดที่ผิวหนังซึ่งเกิดขึ้นมาใหม่ขาวกระจ่างแวววาว รอยแผลเป็นสักนิดก็ไม่หลงเหลือไว้ ทว่าเมื่อแขนข้างขวาของเขางอกออกมา โซ่แห่งโชคชะตาที่เดิมทีอยู่บนข้อมือกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลัวเทียนเฉิงมองศพสองร่างบนพื้น สีหน้าเคร่งขรึมประหนึ่งสายน้ำ หลังสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ใกล้ๆ กับข้อมือแขนขวา จุดแสงระยิบระยับนับไม่ถ้วนพลันปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า หลังแสงสีขาวสว่างวูบหนึ่งก็ผนึกรวมตัวเป็นโซ่หยกขาวสะอาดเกลี้ยงเกลาประหนึ่งหยกเส้นใหม่เส้นหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าแสงสีเทาที่แผ่ออกมาเห็นชัดว่าจางกว่าก่อนหน้านี้มาก
ในเวลาเดียวกันหลังโซ่แห่งโชคชะตาบนข้อมือของบุรุษหน้าเหยี่ยวดูดกลืนไอสีเทาจากศพสองร่างเสร็จแล้ว ไอสีเทาปริมาณมากที่ปรากฏออกมากลางอากาศรอบด้านอีกครั้งก็ถูกดูดเข้าไปอย่างรวดเร็วยิ่งด้วย
หลัวเทียนเฉิงเห็นสภาพนี้ก็ไม่อาจอดกลั้นโทสะเดือดดาลในใจได้อีกต่อไป ไม่พูดพร่ำอีกสองมือทำท่ามือของเคล็ดวิชาอย่างเร็วไว ไอหมอกสีเงินทะลักออกมาจากร่างเขาอย่างบ้าคลั่งอีกหน พร้อมกันนั้นเสียงเปรี๊ยะๆ ก็ดังขึ้น ร่างกายเขาฉับพลันขยายใหญ่ขึ้นรอบหนึ่ง เขาสาวเท้าออกไปหนึ่งก้าว หมายจะลงมือพร้อมกับเพลิงโทสะเต็มหัวใจ
บุรุษหน้าเหยี่ยวกลับหัวเราะ บนแผ่นหลังฉับพลันมีแสงเขียวสองก้อนลอยออกมา จากนั้นเพียงพริบตาก็กลายเป็นปีกแสงสีเขียวยาวจั้งกว่าๆ สองข้าง สองปีกกระพือทีหนึ่งเขาพลันกลายเป็นแสงสีเขียวสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไปไกล ไม่มีความคิดจะประมือกับหลัวเทียนเฉิงต่อสักนิด
“จิ๊ๆ ร่างจิตวิญญาณตูเทียนสมค่ำร่ำลือจริงๆ ข้าได้รับการสั่งสอนแล้ว วันหน้าค่อยพบกัน!” ในเวลาเดียวกันนี้เองเสียงพูดของคนผู้นี้ก็ดังออกมาจากแสงสีเขียวที่อยู่ไกลๆ
“อย่าหนีนะ!”
หลัวเทียนเฉิงไหนเลยจะยอมปล่อยเขาหนีไป แสงสีเงินทั่วร่างม้วนคลุมร่างกายกลายเป็นลำแสงสีเงินสายหนึ่งไล่ตามไปเร็วรี่
ลำแสงของทั้งสองคนล้วนเร็วอย่างที่สุด ชั่วสองสามลมหายใจก็เหาะออกมาสิบกว่าลี้แล้ว
ทว่าลำแสงของหลัวเทียนเฉิงไม่ช้าก็จริง แต่ชื่อเสียงของเขาอย่างไรก็ได้มาจากร่างจิตวิญญาณที่มีกายเนื้อแข็งแกร่ง วิชาหลบหลีกไม่ใช่จุดแข็งของเขา ส่วนลำแสงสีเขียวของบุรุษหน้าเหยี่ยวความเร็วไม่อาจดูแคลนได้อย่างแท้จริง ระหว่างที่กะพริบวูบไหวไม่กี่หนก็เหาะออกไปห่างหลายลี้แล้ว
ผลปรากฏว่าผ่านไปไม่นาน ระยะห่างของทั้งสองคนก็ไกลขึ้นทุกที
หลัวเทียนเฉิงไล่ตามไปอีกระยะหนึ่งเมื่อเห็นว่าไม่อาจไล่ตามทันแล้ว จึงทำได้เพียงหยุดอย่างแค้นเคือง
“น่าชังนัก! หุบเขาปีศาจสวรรค์มีบุคคลที่ร้ายกาจขนาดนี้คนหนึ่งตั้งแต่เมื่อไร แค่ยกมือยกเท้าก็กำจัดศิษย์ระดับผลึกขั้นปลายสองคนของนิกายเราได้” เขามองแสงสีเขียวจุดหนึ่งที่เล็กลงทุกทีบนขอบฟ้าขณะที่ในใจหงุดหงิดอย่างที่สุด
หลังจากที่เขามีสีหน้าทะมึนเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง ในที่สุดก็กระทืบเท้าทีหนึ่งหมุนตัวเหาะรวดเร็วกลับไป
…..
ในพื้นที่แอ่งกระทะที่ล้อมด้วยขุนเขาสี่ด้านอีกแห่งหนึ่งบริเวณขอบนอกของแดนลึกลับ คนหลายกลุ่มกำลังลอยอยู่กลางอากาศต่อสู้ยืดเยื้อตัดสินกันไม่ได้
โอวหยางเชี่ยนกับสตรีผู้สวมชุดสีเขียวน้ำทะเลผู้นั้นจากตระกูลโอวหยางยืนเด่นอยู่ตรงกลาง ส่วนคนที่ประจันหน้ากับพวกนางอยู่คือบุรุษที่สวมชุดยาวสีน้ำตาลสามคน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา