เวลานี้เองหลังแสงดาบส่องสว่างหนหนึ่ง ปลายดาบก็สลายหายไปอย่างแปลกประหลาด ประหนึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน
นางครางเสียงต่ำคำหนึ่ง จากนั้นพร้อมกับที่ปลายดาบสลาย พลังชีวิตของนางก็ไหลรั่วไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายทรุดยวบล้มลงบนพื้น
หัวใจถูกแทงทะลุ ชีวิตในร่างกายร่างนี้ของนางย่อมเดินมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ทว่าท่ามกลางหมอกควันสีม่วงนี้ นางพบว่าดวงจิตของตนเองไม่อาจหลุดออกมานอกร่างได้ สติกลับเริ่มเลือนรางลง
ขณะที่ใกล้สิ้นใจ สตรีชุดแดงฝืนรั้งศีรษะกลับมา แต่พบว่าศิษย์น้องที่ปกติเชื่อฟังนางทุกอย่าง กลับไม่เหลือบแลตนสักหน เขากำลังสนใจแต่ตัวเอง ดิ้นรนสุดชีวิตขยับม่านแสงคุ้มกันร่าง พยายามต้านทานดาบบินขาวสว่างที่ปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบอีกเล่มหนึ่ง นอกจากนั้นเขายังรีบฉีกยันต์แผ่นหนึ่งกลายเป็นลำแสงสีเหลือง ไม่ส่งเสียงสักแอะหนีเร็วไวจากไปไกลในทันที
คนอื่นเห็นเงาร่างของบุรุษชุดแดงผู้ผละหนียามข้าศึกประชิด แม้ในใจทั้งตระหนกทั้งโกรธผสมปนเป แต่ตกตะลึงกับดาบบินสองเล่มที่ฉับพลันปรากฏขึ้นเมื่อครู่มากกว่า
ดาบบินสองเล่มนี้ปรากฏขึ้นอย่างประหลาดเกินไปแล้ว มันแทบจะโผล่ออกมาจากความว่างเปล่าบริเวณใกล้ๆ จากนั้นสังหารสตรีผู้งามเย้ายวนในทันใดอย่างที่นางคิดไม่ถึง
หากไม่ใช่พรรคพวกของสตรีผู้งามเย้ายวนรอบคอบไม่ธรรมดา ใช้วิชาป้องกันไว้ล่วงหน้า เกรงว่าเขาก็คงต้องตายอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน
หลังผู้คนทยอยหยุดการโจมตีในมือก็พบว่าตำแหน่งตรงกลางที่ถูกพวกเขาล้อมเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งดวง เงาร่างของโอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ส่วนไอหมอกสีม่วงแต่เดิม เวลานี้กลับอบอวลบริเวณรอบๆ ราวหนึ่งหมู่[1]กว่า ล้อมคนทั้งหมดไว้ด้านใน คนที่เหลืออยู่ตอนนี้เพิ่งค้นพบว่าท่าไม่ดี ส่วนใหญ่เริ่มตระหนกขึ้นมาอยู่บ้าง
แม้ไม่รู้ว่าสองสตรีตระกูลโอวหยางใช้วิธีการใด แต่เห็นชัดว่าการโจมตีที่ร่วมมือกันเมื่อครู่ทำร้ายอีกฝ่ายไม่ได้ กลับกันสตรีทั้งสองนางกลับฉวยโอกาสหลบเร้นกาย ลงมือสังหารสตรีผู้งามเย้ายวน
แต่ไม่ว่าพวกเขาปล่อยจิตสัมผัส พยายามสุดชีวิตสำรวจไอหมอกรอบด้านอย่างใดก็ไม่มีผลสักนิด
กลิ่นหอมที่ไอหมอกสีม่วงนี้แผ่ออกมารบกวนสัมผัสของทุกคนและคล้ายมีประโยชน์ในการสกัดกั้นพลังจิตสัมผัสด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกคนจึงลนลานยิ่งขึ้น บางคนรีบร้อนกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณ โจมตีอย่างบ้าคลั่งเข้าใส่ไอหมอก บางคนแปะยันต์ป้องกันแผ่นแล้วแผ่นเล่าบนร่างอย่างรวดเร็ว
ส่วนชายวัยกลางคนคิ้วกว้างผู้นั้นที่เป็นหัวหน้าของพรรคตำหนักนภา หลังส่งสายตาให้สองคนทางด้านซ้ายกับขวาก็พลิกมือเรียกห่วงกลมสีดำวงหนึ่งออกมา มันกลายเป็นแสงสีดำสนิทปกป้องตนเองไว้ด้านใน หลังจากนั้นร่างกายประหนึ่งอสนีบาตบินโฉบไปยังหินดึกดำบรรพ์ลายอัคคีตรงกลาง
คนผู้นี้เห็นชัดว่าคิดจะคว้าหินเขียวก้อนนี้แล้วหนีจากไปในทันที
ศิษย์พรรคตำหนักนภาอีกสองคนเอนร่างไปด้านหน้าอย่างเข้าขายิ่ง ขวางเส้นทางที่ห้าคนที่เหลือจะไปตำแหน่งตรงกลางไว้
“เหอะ!”
ฉับพลันเสียงแค่นหยันเสียงหนึ่งก็ลอยมาจากที่ใดที่หนึ่ง แสงดาบสีขาวสว่างไสวปรากฏออกมาอีกครั้งแล่นผ่านร่างชายวัยกลางคนคิ้วกว้างไป
เสียงพรวดดังขึ้นทีหนึ่ง
หลังแสงดาบแล่นผ่านร่างกายที่โถมออกไปของชายวัยกลางคนฉับพลันก็หยุดลงกลางอากาศ บนใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ ตรงช่วงท้องของเขาเลือดสดไหลลงออกมา เห็นชัดอย่างยิ่งว่าถูกฟันขาดโดยสิ้นเชิง
วงแสงสีดำสนิทที่เดิมทีเขาปล่อยออกมาคุ้มครองร่าง เมื่ออยู่ต่อหน้าแสงดาบสีขาวนี้กลับอ่อนแอประหนึ่งแผ่นกระดาษ ขาดเป็นชิ้นๆ ไปนานแล้ว
แสงดาบสีขาวส่องสว่างวูบหนึ่งแล้วหายไปท่ามกลางหมอกสีม่วงอย่างเงียบเชียบอีกหน
ความพลิกผันนี้กินเวลาไปเพียงสองลมหายใจ ผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายคนหนึ่งถูกสังหารฉับพลันทันใดอีกครั้ง ไม่เพียงทำให้ศิษย์ร่วมนิกายของชายวัยกลางคนซึ่งเมื่อครู่ตั้งท่าจะสู้อยู่ทั้งสองคนนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น ห้าคนที่เหลือยิ่งใบหน้าไร้สีเลือด
“ส่งโซ่โชคชะตามาเสีย ข้าจะปล่อยพวกเจ้าให้มีทางรอด”
เวลานี้เองท่ามกลางหมอกสีม่วงจางๆ กลับมีเสียงใสกังวานอ้อยอิ่งเสียงหนึ่งดังขึ้นมา คนที่พูดก็คือโอวหยางเชี่ยนนั่นเอง
เจ็ดคนที่เหลือได้ยินพลันใจสะท้านอย่างรุนแรง ชั่วขณะเงียบงันไม่เอ่ยวาจา
“ดี ตระกูลโอวหยางไม่เสียทีเป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ พวกเรารู้ตัวว่าไม่ใช่คู่มือของพวกเจ้า ขอลาตรงนี้” หลังบุรุษกำยำสวมชุดสั้นสีน้ำตาลทองคนหนึ่งเปลี่ยนสีหน้าไปมาหลายหน ในที่สุดก็กัดฟันคว้าโซ่โชคชะตาบนข้อมือดึงออกมาโยนเข้าไปยังหมอกบริเวณข้างเคียงทันที
อีกสองคนที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งแต่งกายคล้ายกันก็ทำอย่างเดียวกันด้วย
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ลอยขึ้นฟ้ากลายเป็นแสงสีน้ำเงินสามสายแหวกท้องฟ้าจากไป
ในหมอกสีม่วงไม่เห็นผู้ใดลงมือขัดขวางจริงดังว่า
บุรุษผู้สวมชุดคลุมศีรษะสองคนที่เหลือเห็นภาพนี้ก็ส่งกระแสจิตคุยกันสองประโยคอย่างเร็วไว แล้วมองไปยังหินดึกดำบรรพ์ลายอัคคีอีกทีหนึ่ง แววตาไม่ยินยอมฉายวูบแล้วหายไป พวกเขาวางโซ่แห่งโชคชะตาไว้กับที่เช่นกัน จากนั้นก้าวยาวจากไปโดยไม่เอ่ยสักคำ
ครู่เดียวในพื้นที่แอ่งกระทะก็เหลือเพียงศิษย์พรรคตำหนักนภาที่สวมเสื้อสีน้ำตาลสองคน พวกเขายังคงมีสีหน้าทะมึนเปลี่ยนไปมาอยู่ที่เดิม
“อะไรกัน พวกเจ้าสองคนอยากตามพรรคพวกของพวกเจ้าไปด้วยหรือ?” เสียงใสกังวานดังขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่เวลานี้ในน้ำเสียงกลับมีความกรุ่นโกรธอยู่จางๆ
ทั้งสองคนได้ยินพลันหน้าถอดสี หลังสบตากันทีหนึ่ง ทั้งคู่ก็กัดฟัน โยนโซ่แห่งโชคชะตาบนมือออกไปจากนั้นหมุนตัวกระตุ้นลำแสงเหาะเร็วรี่จากไปไกลทันที ไหนเลยจะกล้ารั้งรออีก
หลังรอให้คนทั้งหมดจากไปไกลแล้ว ทันใดนั้นหมอกสีม่วงที่อบอวลเต็มพื้นที่แอ่งกระทะก็ม้วนตลบ โถมไปที่จุดหนึ่งตรงกลางประหนึ่งวาฬยักษ์พ่นน้ำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา