ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 787

สรุปบท ตอนที่ 787 เปิด: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปตอน ตอนที่ 787 เปิด – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

ตอน ตอนที่ 787 เปิด ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 787 เปิด
“อ้อ ที่แท้เจ้าพบสหายจากนิกายยอดบริสุทธิ์” บุรุษชุดน้ำเงินได้ยินพลันมองไปทางหลิ่วหมิงทันที จากนั้นพยักหน้าให้อย่างเป็นมิตร

หลิ่วหมิงได้ยินเผิงเยวี่ยเรียกบุรุษผู้นี้ว่าอาจารย์อา แม้ในใจรู้สึกประหลาดนัก แต่ย่อมไม่กล้าชักช้ารีบประสานมือคำนับกลับ

หลังเผิงเยวี่ยกระซิบเสียงเบากับบุรุษชุดน้ำเงินอีกสองสามประโยคแล้ว ก็ค้อมกายอีกครั้ง จากนั้นถึงหมุนตัวเหาะกลับไปข้างกายหลิ่วหมิง นั่งขัดสมาธิรอคอยเงียบๆ

เวลานี้เองเสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง

“สามสิบกว่าปีไม่พบหน้า พี่หลิ่วสง่างามยิ่งกว่าวันวานเสียอีก”

หลิ่วหมิงหันศีรษะไปก็เห็นโอวหยางเชี่ยนที่อยู่ไม่ไกลเอ่ยขึ้นเหมือนจะยิ้มให้เขา

“ที่แท้เป็นแม่นางโอวหยางนี่เอง ตั้งแต่จากกันสบายดีนะ” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยพลางกวาดจิตสัมผัสออกไป ในดวงตาฉายแววประหลาดใจ

พลังของสตรีผู้นี้ไปถึงระดับผลึกขั้นปลายแล้ว

แม้เขาก็ระดับผลึกขั้นปลายเช่นกัน แต่ย่อมรู้ตัวเองดี หากไม่ใช่อาศัยโอสถจำนวนมากกับฟองอากาศลึกลับเพิ่มความบริสุทธิ์ของพลังเวทไม่หยุด เขาไม่มีทางเลื่อนระดับได้เร็วเช่นนี้แน่นอน

ส่วนศิษย์คนอื่นในนิกายยอดบริสุทธิ์ที่ยามนั้นระดับเดียวกันกับเขาเช่นพวกซาทงเทียน วันนี้ก็ยังวนเวียนอยู่ที่ระดับผลึกขั้นต้นหรือขั้นกลาง

ดูท่าสตรีนางนี้หากไม่ใช่ยอดอัจฉริยะแห่งการฝึกฝนอย่างแท้จริงประเภทนั้น หลายปีนี้ตระกูลโอวหยางก็คงทุ่มเทเงินทุนมากมายลงไปกับทรัพยากรการฝึกฝนของนาง

“ตอนนั้นจากกันที่วังมายานภาหยก คิดไม่ถึงว่าเจ้ากับข้าแล้วก็สหายเซวียจะได้มารวมตัวกันอีกครั้งที่งานประตูสวรรค์” โอวหยางเชี่ยนหัวเราะคิกคัก หัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยขึ้นคล้ายระลึกความหลัง

“ฮ่ะๆ ผู้แซ่หลิ่วไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ ว่าจะพบหน้าท่านทั้งสองที่นี่ แต่สหายเซวียกับแม่นางโอวหยางล้วนเป็นสุดยอดในสำนัก ข้าอยู่ตรงนี้ก็แค่เติมจำนวนให้ครบเท่านั้น” หลิ่วหมิงหาวพลางกวาดตามองเซวียผานอีกด้านหนึ่ง

คลื่นพลังเวทบนร่างคนผู้นี้พลังเพียงระดับผลึกขั้นต้นเท่านั้น แต่ไอปีศาจบนร่างยิ่งใหญ่จนน่าตะลึง เห็นชัดว่าฝึกฝนวิชาพิเศษบางอย่าง

ครั้งนั้นในวังมายานภาหยก ยามคนผู้นี้เผชิญหน้ากับการไล่ล่าสังหารจากเงาลวงตาของจินเลี่ยหยางนับได้ว่าลูกเล่นไม่หมดไม่สิ้น ตอบโต้ได้ดั่งใจ อีกทั้งเผ่าปีศาจยิ่งพลังเพิ่มพูน กายเนื้อก็แข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์มากจนเทียบกันไม่ได้ พลังในวันนี้ย่อมพลิกฟ้าพลิกดินได้เช่นเดียวกัน

บุรุษหน้าเหยี่ยวผู้นั้นข้างกายเซวียผานคล้ายสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาของหลิ่วหมิง จึงหันศีรษะมองตรงมาที่หลิ่วหมิงเช่นกัน สองตาของเขาดุดันไม่ธรรมดาทำเอาใบหน้าของหลิ่วหมิงรู้สึกเจ็บแปลบ

ในใจหลิ่วหมิงตระหนกเล็กน้อยรีบรั้งสายตากลับไป

พลังของเผ่าปีศาจหน้าเหยี่ยวผู้นี้เหมือนจะมากมายไม่ธรรมดา

“พี่หลิ่วพูดเช่นนี้ออกจะหลอกตัวเองและหลอกผู้อื่นไปหน่อยแล้ว พลังของสหาย ยามนั้นที่อยู่ในวังมายานภาหยกข้าได้ประจักษ์แล้ว…” โอวหยางเชี่ยนกลอกนัยน์ตาหวาน เอ่ยเคืองเล็กๆ

ระหว่างที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน ขอบฟ้าไกลก็พลันมีเสียงแหวกนภาวูบหนึ่ง แสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ประหนึ่งสายลมสายฟ้ามายังหุบเขา

ในเวลาเดียวกันนี้ตรงช่องว่างช่องที่เจ็ดใจกลางค่ายกลบนแท่นศิลาตรงกลางหมู่คนก็มีแสงจิตวิญญาณส่องประกายออกมาเลือนราง

ทุกคนเห็นเช่นนี้ก็ล้วนยินดี

หลิ่วหมิงกลับเลิกคิ้วเล็กน้อย ลำแสงสายนี้เหมือนจะคุ้นตาอยู่นะ

ผลปรากฏว่าหลังแสงสีเงินไหววูบสองสามครั้งแล้วร่อนลงบนพื้นที่ว่างเบื้องหน้าผู้คน เงาร่างของชายหนุ่มอายุราวยี่สิบสามยี่สิบสี่ปีคนหนึ่งก็ปรากฎขึ้น บนร่างสวมเครื่องแต่งกายของนิกายยอดบริสุทธิ์ หลัวเทียนเฉิงนั่นเอง

ในมือของเขาถือเศษแผ่นค่ายกลชิ้นหนึ่งที่กำลังส่องแสงสีทองเรืองๆ อยู่เช่นกัน!

หลัวเทียนเฉิงเห็นแท่นศิลามหึมาตรงกลางก็เผยสีหน้าทั้งตะลึงทั้งยินดีออกมาเช่นกัน จากนั้นกวาดสายตาผ่านผู้คนที่นั่น

“เจ้า! เจ้าโจรตัวดี ครั้งนี้ดูสิเจ้าจะหนีไปไหน!”

เมื่อเขาเห็นบุรุษหน้าเหยี่ยวที่อยู่ข้างหลังร่างเซวียผานแล้ว ทันใดนั้นสองตาก็ประหนึ่งจะพ่นไฟตวาดเสียงดังขึ้น จากนั้นแสงสีเงินทั่วร่างพลันสว่างจ้า หนึ่งหมัดโจมตีรุนแรงออกมา

เสียงมังกรคำรามกึกก้องฟ้าเสียงหนึ่งดังขึ้น เงามังกรสีเงินยาวสามสิบจั้งสองตัวกู่ร้องโผล่ออกมาจากบนแขนของเขา หลังมันบินวนไขว้สลับกันหนึ่งหนกลางท้องฟ้าแล้วก็แยกเขี้ยวกางกรงเล็บพุ่งเข้าใส่จุดที่บุรุษหน้าเหยี่ยวกับเซวียผานอยู่ทันที

มังกรสีเงินสองตัวท่าทางเปี่ยมพลัง มันผ่านไปที่ใดล้วนชักพาให้อากาศรอบด้านสะเทือนรุนแรง คนที่อยู่ใกล้เห็นสภาพนี้ล้วนใจสะท้าน

ศิษย์นิกายเล็กที่ยืนอยู่ใกล้หลายคนยิ่งตระหนกลนลานทะยานร่างหนีจากบริเวณใกล้ๆ

เซวียผานยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับหลบสักนิด เพียงมองเงามังกรสีเงินที่คำรามพุ่งเข้ามาอย่างเย็นชา

บุรุษหน้าเหยี่ยวด้านข้างกลับแค่นเสียงหยันคำหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อ แสงสีเงินกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา กระจกหกเหลี่ยมขนาดเล็กบานนั้นนั่นเอง หลังกระจกหมุนติ้วครู่หนึ่งรัศมีสีเงินแวววาวผืนใหญ่ก็พุ่งเร็วปรี่ออกมาจากบานกระจก ประจันหน้ากับการโจมตีของมังกรเงินที่มาถึงได้พอดี

คนอื่นๆ เห็นภาพนี้ในดวงตาก็ทยอยเผยแววตาเร่าร้อนออกมาเช่นกัน

“สหายทั้งสอง ดินแดนแห่งมรดกกำลังจะเปิดออกแล้ว หากลงมือตอนนี้คงได้ไม่คุ้มเสีย หากทั้งสองท่านมีความแค้นที่ไม่สะสางไม่ได้จริงๆ ไม่สู้รอหลังพวกเราเข้าไปคว้าโชคชะตาจากมรดกด้านในแล้วค่อยออกมาสะสาง” เผิงเยวี่ยรั้งสายตากลับมาจากแท่นศิลา จากนั้นมองหลัวเทียนเฉิงกับบุรุษหน้าเหยี่ยวแล้วนก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวเอ่ยขึ้น

หลังหลัวเทียนเฉิงครุ่นคิดเล็กน้อย แววตาดุร้ายในดวงตาในที่สุดก็ค่อยๆ หน้าไป สุดท้ายก็พยักหน้าด้วยใบหน้าถมึงทึง

ส่วนบุรุษหน้าเหยี่ยวหัวเราะหยันสองสามครั้งก็เก็บกระจกหกเหลี่ยมในมือไปบ้าง

ในช่วงเวลาสำคัญที่ดินแดนแห่งมรดกกำลังจะเปิดออก ไม่ใช่จังหวะที่จะต่อสู้กันจริงๆ

“คิดไม่ถึงว่าพี่หลิ่วก็มาถึงที่แห่งนี้ด้วย ดียิ่ง! ดูท่าหลังจากนี้ไม่นานที่นี่คงจะครึกครื้นยิ่งนัก” หลัวเทียนเฉิงเคลื่อนสายตาออกมา ในที่สุดก็เห็นหลิ่วหมิงที่อยู่หลังร่างเผิงเยวี่ย ในดวงตาฉายแววตาคิดไม่ถึงจางๆ

“ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นนั้นว่าศิษย์น้องหลัวจะได้เศษชิ้นส่วนชิ้นหนึ่งมาเช่นกัน” หลิ่วหมิงประสานมือให้เขาด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนนับเป็นการทักทาย

ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนยามอยู่ในนิกายยอดบริสุทธิ์ไม่ดีนัก ถึงขั้นมีความรู้สึกเป็นอริอยู่บ้าง เวลานี้แม้อยู่ในแดนลึกลับประตูสวรรค์ก็พูดถึงมิตรไมตรีอันใดไม่ได้

“หลายวันก่อนหน้าคนผู้นี้ของหุบเขาปีศาจสวรรค์ลงมือลอบโจมตี สังหารศิษย์นิกายเราอีกสองคนที่ร่วมเดินทางกับข้าแล้วแย่งชิงโชคชะตาบนร่างพวกเขาไป ผู้แซ่หลัวเดิมทีต้องการไล่ล่าสังหารคนผู้นี้เพื่อแก้แค้นให้สหายร่วมสำนัก แต่ถูกเขาใช้ความเจ้าเล่ห์หนีรอดไปได้ หลังออกจากแดนลึกลับข้าจะรายงานเรื่องนี้กับนิกาย เจ้าในฐานะศิษย์นิกายเราคงจะรู้ว่าควรทำอย่างไร” หลัวเทียนเฉิงเหล่มองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง ริมฝีปากขมุบขมิบส่งกระแสจิตเอ่ย หลังจากนั้นเปลวเพลิงสีเงินก็ลุกโหมบนร่าง ร่างกายขยับวูบหนึ่งก็ร่อนลงบนเนินสูงแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล

หลิ่วหมิงได้ฟังสองตาพลันหรี่ลง กวาดมองบุรุษหน้าเหยี่ยวผู้นั้นอีกหลายหน

แม้หลัวเทียนเฉิงจะมีพลังเพียงระดับผลึกขั้นต้น แต่ความสามารถน่าตะลึงอย่างที่สุด

ถึงจะไม่รู้ว่าศิษย์ร่วมสำนักสองคนที่ถูกสังหารพลังเป็นอย่างไร แต่ในเมื่อได้สิทธิเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ก็คงไม่อ่อนแอแน่นอน ทว่าพลังของทั้งสามคนรวมกันกลับสู้บุรุษหน้าเหยี่ยวผู้นั้นไม่ได้ แล้วยังถูกเขาโจมตีทีเดียวสังหารไปสองคนอีก ดูท่าคนผู้นี้จะแข็งแกร่งกว่าที่ตนจินตนาการไว้ก่อนหน้านี้ไม่น้อย ต้องระวังไว้บ้างแล้ว

หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว

คล้ายสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังจิตวิญญาณประหลาดที่นี่ เพียงชั่วครู่ก็มีลำแสงหลากสีเจ็ดแปดสายแหวกท้องนภามายังหุบเขา ส่องสว่างร่อนลงบนพื้นที่ใกล้ๆ

คราวนี้รอบแท่นศิลากลางหุบเขาแอ่งกระทะจึงแทบจะถูกกลุ่มคนมากมายถี่ยิบล้อมเป็นวง มีมากเกือบสามสิบคน นี่ผิดจากสถานการณ์ที่หลิ่วหมิงกับเผิงเยวี่ยคำนวณไว้ในตอนแรกว่าอย่างน้อยแปดเก้าคน อย่างมากสิบกว่าคน เวลานี้ไปไกลแล้ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา