บุรุษผมม่วงเห็นสิ่งนี้ปุบ สองตาพลันหรี่ลงเล็กน้อย
เสียงฟุบดังขึ้นสองหน เสาแสงสีแดงฉานสองสายก็พุ่งออกมาจากกระบอกกลม โจมตีลงบนเงาหมัดพอดิบพอดี ทำให้ทั้งสามสิ่งพริบตาสลายหายไปพร้อมกัน
เสียงเปรี้ยงดังขึ้น เงาหมัดสีม่วงโจมตีลงบนร่างเผิงเยวี่ย หยั่งเชิงเผิงเยวี่ยพักหนึ่ง
“ฮ่ะๆ ของที่นิกายเทียนกงสร้างออกมาไม่ธรรมดาเลยจริงๆ! ดีมาก ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ถึงมีคุณสมบัติเข้าไปในดินแดนแห่งมรดก ทว่าหลังเข้าไปเป็นหรือตายแต่ละคนรับผิดชอบเองแล้ว!”
บุรุษผมม่วงไม่ลงมือโจมตีเผิงเยวี่ยต่ออีก ร่างกายไหววูบหนึ่งก็กลับไปยังจุดที่ตนเองยืนอยู่ก่อนหน้านี้ เขาหัวเราะพลางเอ่ยขึ้นจากนั้นยื่นมือดึงเศษชิ้นส่วนมรดกสีทองชิ้นหนึ่งออกมาจากข้างเอว
หลิ่วหมิงได้ยินดังนั้นสายตาก็กวาดมองคร่าวๆ ทีหนึ่ง พบว่าตอนนี้ในที่นี้เหลือเพียงสิบเอ็ดคนเท่านั้น นอกจากตัวเขาแล้ว ก็มีเผิงเยวี่ย เซวียผาน บุรุษหน้าเหยี่ยว พี่น้องโอวหยาง ชายหนุ่มรถเงินจากนิกายเทียนกง สตรีชุดเขียวจากสำนักเฮ่าหราน หลัวเทียนเฉิง บุรุษผมม่วง แล้วก็คนชุดเทาที่ใช้แผ่นกลมแผ่นหนึ่งรับการโจมตีของบุรุษผมม่วงได้อย่างหวุดหวิดก่อนหน้านี้
นอกจากเขากับเผิงเยวี่ย สองคนจากหุบเขาปีศาจสวรรค์กับพี่น้องตระกูลโหวหยางสองคนมีเศษชิ้นส่วนมรดกชิ้นหนึ่งร่วมกัน คนที่เหลือนอกร่างล้วนมีแสงสีทองอ่อนๆ ระยิบระยับ เห็นชัดว่าในมือต่างมีเศษชิ้นส่วนชิ้นหนึ่ง
“เพราะมีคนบางคนทำให้พวกเราเสียเวลาไปมากนัก รีบเปิดดินแดนแห่งมรดกเถอะ” หลัวเทียนเฉิงมองบุรุษผมม่วงอย่างเย็นชา
สิ้นเสียง เขาก็ยกมือขึ้น เศษชิ้นส่วนที่ส่องแสงสีทองเรืองๆ ชิ้นหนึ่งบินพุ่งออกไปดังฟึ่บ ร่วงลงในช่องว่างช่องหนึ่งบนค่ายกลใจกลางแท่นศิลาอย่างมั่นคง
บุรุษผมม่วงได้ยินเพียงฉีกปากยิ้มแล้วสะบัดมือข้างหนึ่งเช่นกัน เศษชิ้นส่วนแผ่นค่ายกลอีกแผ่นหนึ่งบินออกไป ฝังลงไปในช่องว่างอีกช่องหนึ่ง
ขณะที่คนที่เหลือเตรียมจะทยอยโยนเศษชิ้นส่วนออกไปกระตุ้นค่ายกลบนแท่นศิลาอย่างสมบูรณ์ ทันใดนั้นบนท้องฟ้าไกลออกไปเสียงเปรี้ยงก็ดังขึ้น ปราณดำสายหนึ่งถาโถมมายังที่ซึ่งทุกคนอยู่ พลังน่าตะลึงอย่างยิ่ง
พวกโอวหยางเชี่ยนเห็นภาพนี้ล้วนอดไม่ได้ขมวดคิ้ว
มองดูสายลมสีดำที่ทั้งทรงพลังและดุดันแล้วเห็นได้ชัดว่าพลังของคนที่มาไม่ธรรม แต่ยามนี้ดินแดนแห่งมรดกกำลังจะเปิดออก พวกเขาล้วนไม่อยากหาเรื่องยุ่งยากอันใดเพิ่มอีก
“เห็นแต่ไกลว่าที่นี่มีปรากฏการณ์ประหลาดบนท้องฟ้า ฮ่ะๆ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นดินแดนแห่งมรดก!” สายลมสีดำมาถึงท้องฟ้าเหนือแท่นศิลา เสียงแหบสากเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากด้านใน
จากนั้นสายลมสีดำพลันหมุนติ้วแล้วหยุดนิ่ง กลายเป็นศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับผู้มีตาเล็กจมูกบี้ หน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่ง
“ที่แห่งนี้คือดินแดนแห่งมรดก คนได้รวมตัวกันครบแล้ว ในเมื่อท่านไม่มีชิ้นส่วนมรดกก็รีบจากไปจะดีกว่า” บุรุษผมม่วงเอ่ยเรียบๆ ประโยคหนึ่ง
ศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับผู้นี้แม้พลังแลดูอ่อนแอ แต่เรื่องมาจนถึงตอนนี้ย่อมไม่มีผู้ใดอยากให้มีคนมาแบ่งน้ำแกงอีก
“อ้อ? เศษชิ้นส่วนมรดก…”
ศิษย์อัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับยิ้มน่าขนลุกทีหนึ่ง สายตาพลันกวาดบนร่างผู้คนที่นั่นอย่างรวดเร็วแล้วจับจ้องอยู่บนร่างของคนชุดเทาผู้นั้น จากนั้นสายตาพลันเย็นเยียบ ร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งก็แปลงกลายเป็นสายลมสีดำพัดหวีดหวิวลงมา
“เจ้า อ้าก…”
คนชุดเทาตกตะลึง ทันเพียงสะบัดแขนเสื้อรีบร้อนโยนแผ่นกลมแผ่นหนึ่งออกมาก็ถูกสายลมสีดำที่พัดลงมากะทันหันกลบเข้าไปมิดอย่างสิ้นเชิง
นาทีต่อมาสายลมสีดำก็พัดโถมคลั่งหมุนติ้วอยู่กับที่ไม่หยุด มีเสียงร้องแหลมแสบแก้วหูดังออกมาจากด้านในเป็นระยะ
หลังเสียงกรีดร้องโหยหวนทีหนึ่ง ศพอ่อนยวบประหนึ่งทั้งร่างไร้กระดูกร่างหนึ่งก็ถูกโยนออกมาจากด้านใน ร่วงหล่นไปนอกหุบเขา
ดูจากเสื้อผ้าที่หลงเหลืออยู่บนศพ เขาก็คือคนชุดเทาเมื่อครู่นั่นเอง
หลังสายลมสีดำมลายหายไป เงาร่างของศิษย์อัปลักษณ์นิกายปีศาจลี้ลับก็โผล่ออกมาอีกหน ทว่าในมือเขามีเศษชิ้นส่วนมรดกสีทองเรืองรองชิ้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา พร้อมกันนั้นไอหมอกสีเทาสายหนึ่งก็มุดเข้าไปในโซ่แห่งโชคชะตาบนข้อมือของเขาอย่างว่องไวเช่นกัน
“ตอนนี้ข้ามีคุณสมบัติเข้าไปข้างในแล้วกระมัง”
ชายหนุ่มอัปลักษณ์ชูเศษชิ้นส่วนในมือขึ้น เอ่ยกับทุกคนอย่างน่าขนลุก
คนที่อยู่ที่นั่นเห็นศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับผู้นี้ชั่วเวลายกมือยกเท้าก็สังหารผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายผู้หนึ่งได้ในทันทีแล้ว ใบหน้าของพวกเขาปรากฏสีหน้าแตกต่างกันออกไป
ในดวงตาบุรุษผมม่วงทอประกายเย็นเยียบจางๆ แต่นาทีต่อมาก็ฟื้นคืนเป็นปกติแล้วเอ่ยเรียบๆ ขึ้นว่า
“ในเมื่อท่านเอาเศษชิ้นส่วนมรดกมาได้ ย่อมไม่มีปัญหาอันใดแล้ว”
“เอาล่ะ เสียเวลาไปไม่น้อยแล้ว ทุกท่านยังอ้อยอิ่งอะไรอีก รีบลงมือเข้าเถอะ ได้ยินว่าถึงเข้าไปในดินแดนแห่งมรดกได้ก็ยังต้องผ่านการทดสอบอีกหลายด่านถึงจะได้ผลประโยชน์ด้านใน” ขณะที่คนที่เหลือเงียบงันไม่พูดจา โอวหยางเชี่ยนฉับพลันก็เอ่ยขึ้น จากนั้นนางก็ยกมือขึ้น เศษชิ้นส่วนสีทองเรืองรองชิ้นหนึ่งบินพุ่งออกมาจากแขนเสื้อยาว
พวกเผิงเยวี่ยเห็นภาพนี้ก็ทยอยโยนเศษชิ้นส่วนมรดกออกมาด้วย เศษชิ้นส่วนฝังลงในช่องว่างของค่ายกลอย่างแม่นยำไม่พลาด
หลังชายหนุ่มอัปลักษณ์ผู้นั้นโยนเศษชิ้นส่วนมรดกชิ้นสุดท้ายไปบนแท่นศิลาอย่างไม่ใคร่ใส่ใจแล้ว ค่ายกลทั้งหมดฉับพลันส่องแสงสว่างจ้า ตรงใจกลางปรากฏอักขระห้าสีมหึมาตัวหนึ่ง จากนั้นม่านแสงสีทองชั้นหนึ่งก็แตกสลายหายไปทีละชั้นๆ หุบเขาทั้งหมดสั่นไหวเล็กน้อย
เสียงบึ้มดังสนั่นจนแก้วหูแทบดับดังขึ้นพักหนึ่ง จากนั้นแท่นศิลามหึมาก็ค่อยๆ จมลงไปใต้ดิน หลังจมลงไปใต้ดินจนมิด อักขระมหึมาฉับพลันกลายเป็นแสงสีทองดวงหนึ่งพุ่งไปบนกำแพงหินผืนหนึ่งด้านหลังแท่นศิลา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา