ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 80

สรุปบท ตอนที่ 80: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปตอน ตอนที่ 80 – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

ตอน ตอนที่ 80 ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 80 สือเจียน ลวี่อวิ๋น
ตอนที่ 80 สือเจียน ลวี่อวิ๋น
โดย
Ink Stone_Fantasy
ด้วยการฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายของหลิ่วหมิง บวกกับมีอาวุธจิตวิญญาณและแมงป่องกระดูกขาวคอยช่วย ขอแค่อาจารย์จิตวิญญาณไม่มาหาเรื่อง เขาย่อมไม่หวาดกลัวอย่างแน่นอน

ส่วนการหมั้นของเขากับมู่หมิงจู เก็บไว้ก่อนค่อยๆ แก้ไขทีละขั้นตอน ส่วนจะแต่งกับนางหรือไม่นั้นก็ต้องดูท่าทีของนางแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับคนอื่นแล้วระยะเวลาสามปีอาจจะค่อนข้างสั้น แต่สำหรับเขาแล้วกลับสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวต่างๆ ได้อีกมาก

เมื่อครู่เขาได้ฟังมู่อวิ๋นเซียนเล่าเกี่ยวกับศิษย์แกนนำที่ได้รับทรัพยากรจากการประลองใหญ่ และผลประโยชน์มหาศาลการจากเข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายแล้วก็อดใจเต้นขึ้นมาไม่ได้

อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่กลายเป็นหนึ่งในสิบของศิษย์แกนนำได้ ทุกปีก็จะได้หินจิตวิญญาณอย่างน้อยหนึ่งถึงสองพันก้อน อย่างมากจะได้สี่ถึงห้าพันก้อน แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาใจเต้นไม่หยุดแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าสามารถรอดชีวิตกลับมาจากการทดสอบความเป็นความตายได้ นิกายปีศาจจะยังมอบไอปีศาจบริสุทธิ์ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทะลวงเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ ในขณะเดียวกันยังเปิดแดนต้องห้ามในที่ต่างๆ ให้พวกเขาสามารถเข้าไปฝึกฝนในนั้นได้ ซึ่งในนั้นจะมีพลังปราณเข้มข้นกว่าภายนอกสิบกว่าเท่า จำนวนวันที่ฝึกฝนอยู่ในนั้นขึ้นอยู่กับผลงานที่ทำได้ในระหว่างการทดสอบ

และทั้งหมดนี้เป็นแค่รางวัลจากนิกายปีศาจเท่านั้น ถ้าหากสามารถชิงอันดับในการทดสอบความเป็นความตายได้ มูลค่ารางวัลที่แต่ละนิกายร่วมกันมอบให้ย่อมมากกว่านี้หลายเท่า

รางวัลอันน่าตกใจนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการทรัพยากรจำนวนมากและรวดเร็วอย่างหลิ่วหมิงแล้ว เขาย่อมไม่ละทิ้งโอกาสนี้อย่างแน่นอน

และนับวันเวลาดูแล้ว ตอนนี้การประลองใหญ่ก็อยู่ห่างออกไปแค่ครึ่งปีแล้ว การทดสอบความเป็นความตายก็จะเริ่มขึ้นหลังจากการประลองใหญ่ไปหนึ่งปี

ถึงแม้เขาจะเชื่อมั่นว่าพลังของเขาจะไม่ด้อยกว่าใคร แต่จะสามารถชิงหนึ่งในสิบอันดับศิษย์แกนนำมาได้หรือไม่นั้น เขาก็ยังไม่มีความเชื่อมั่นมากพอ

การประลองใหญ่ในนิกายนั้น ศิษย์เก่าที่มีอายุสามสิบปีลงมาต่างก็สามารถเข้าร่วมการประลองได้ ในนั้นจะมีเด็กหนุ่มสาวสติปัญญาสูงส่งที่มีพลังน่าตกใจตั้งแต่อายุยังน้อย และยังมีศิษย์เก่าที่ไม่รู้ว่าติดอยู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีแล้ว และฝึกฝนจนพลังเวทย์นั้นแข็งแกร่งจนยากจะเทียบได้

ด้วยสภาพเขาในตอนนี้ ภายในระยะเวลาอันสั้นไม่สามารถเพิ่มพลังเวทย์ให้สูงขึ้นได้อย่างเด่นชัดมากนัก และยังขาดประสบการณ์ในการต่อสู้กับคนอื่น ถึงแม้ตอนอยู่เกาะมฤตยูเขาจะต่อสู้กับคนที่นั่นจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่นั่นเป็นการต่อสู้ของคนธรรมดาสามารถนำมาเป็นประสบการณ์ได้ไม่มาก และการแลกมือระหว่างศิษย์จิตวิญญาณด้วยกันจริงๆ ก็มีแค่ไม่กี่ครั้ง

ถึงแม้ในนิกายจะมีลานต่อสู้ให้ศิษย์แลกมือศึกษากัน แต่ศิษย์โดยทั่วไปก็ไม่มีใครแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา อีกอย่างถ้าหากลงมือหนักจนทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ ก็จะถูกลงโทษอย่างเฉียบขาด มันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับศิษย์จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงแล้ว

ด้วยเหตุนี้หลิ่วหมิงแค่คิดไตร่ตรองเล็กน้อย ก็ละความคิดที่จะไปฝึกฝนการต่อสู้จริงที่ลานต่อสู้นี้

สมองเขาคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้วก็ยิ้มพูดกับตัวเอง

“ใช่แล้ว! ถึงแม้สถานที่นั้นจะอันตรายไปบ้าง แต่ก็เป็นสถานที่ที่ดีในการฝึกต่อสู้ อีกอย่างถ้าไปที่นั่นล่ะก็ต่อให้มีคนมาหาเรื่องก็คงไม่สามารถทำได้โดยง่าย แต่ก่อนอื่นต้องไปหอเก็บคัมภีร์อีกรอบ เพื่อสอบถามเคล็ดวิชาการป้องกันตัวที่เหมาะสมกับตนเองเสียก่อน”

ถึงแม้หอเก็บคัมภีร์ในเขาเก้าทารกก็มีวิชาป้องกันตัวที่เปิดให้ศิษย์ทุกคนได้ฝึกฝน แต่วิชาเหล่านี้ถ้าไม่มีเงื่อนไขในการฝึกฝน ก็ต้องเป็นวิชาที่แสดงผลลัพธ์ได้ไม่ค่อยดี ซึ่งยังไม่มีที่เข้าตาเขาเลยสักวิชา

สำหรับแต้มคุณูปการในมือของหลิ่วหมิง ถึงแม้ก่อนหน้านั้นจะหมดไปกว่าครึ่งหนึ่งเพื่อแลกกับโอสถเพิ่มพลังเวทย์ แต่แต้มคุณูปการที่เหลืออยู่หลายร้อยแต้มก็คงจะสามารถใช้แลกกับวิชาป้องกันตัวได้สักวิชาหนึ่ง

แต่พอนึกถึง ‘อาจารย์อาหร่วน’ ที่ยัดเยียดเคล็ดวิชากระดูกดำให้เขาแล้วก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ก่อนหน้านี้เขาจึงไม่ได้ไปหอเก็บคัมภีร์เป็นครั้งที่สอง เพราะอาจารย์อาหร่วนอาจจะคิดทำอะไรกับเขาโดยที่เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

แต่ในเมื่อเรื่องมันเกี่ยวโยงถึงการประลองใหญ่และการทดสอบความเป็นความตาย เขาก็ได้แต่บากหน้าไปอีกครั้ง อีกอย่างถ้าถือโอกาสถามส่วนที่ไม่เข้าใจในเคล็ดวิชากระดูกดำให้เข้าใจ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง

หลิ่วหมิงคิดอย่างละเอียดอีกรอบ หลังจากเห็นว่าไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสมแล้วก็ออกจากที่พัก และขี่เมฆทะยานฟ้าออกไปจากเขาเก้าทารกมุ่งตรงไปยังยอดเขาหลัก

แต่พอเหาะออกจากเขาเก้าทารกได้ไม่นานก็มีเมฆเทาสองก้อนทะยานขึ้นมาจากตีนเขา และเพิ่มความเร็วจนตามทันหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านหน้า

“ด้านหน้านั้นใช่ศิษย์น้องไป๋ไหม? ช้าลงหน่อยได้หรือไม่ ข้าสองสามีภรรยาอยากคุยกับเจ้าหน่อย”

หลิ่วหมิงรู้ตัวนานแล้วว่ามีคนตามอยู่ด้านหลัง เดิมทีไม่คิดที่สนใจแต่เห็นทั้งสองพูดตามตรงเช่นนี้ก็ลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็หยุดเมฆเทาหันตัวกลับไปมอง

บนเมฆเทาสองก้อนที่ไล่ตามมานั้น มีชายหญิงอายุสามสิบกว่าปีคู่หนึ่งยืนอยู่

ผู้ชายสีหน้าดำคล้ำ ลำแขนอวบใหญ่ สวมชุดทะมัดทะแมง สะพายหอกยาวสีม่วง ผู้หญิงโหนกแก้มค่อนข้างสูง ใบหน้าดูธรรมดา แต่ที่เอวมีแส้สีขาวเส้นหนึ่งพันอยู่

“ยุ่งยาก? ช่วงนี้ข้าไม่คิดที่จะออกไปนอกนิกายอยู่พอดี ถ้าหากศิษย์พี่ท่านทนรอได้ล่ะก็พยายามเฝ้าดูอยู่แถวประตูนิกายก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงหาวแล้วกล่าวออกมา

คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของทั้งสองค่อยๆ เปลี่ยนไป

“ศิษย์น้องไป๋ ต่อให้มู่หมิงจูนั้นจะงดงามปานบุปผา แต่เจ้าจะยอมล่วงเกินศิษย์น้องเกาชงเพียงเพราะศิษย์นิกายสายนอกที่ไม่ใช่ศิษย์จิตวิญญาณผู้นี้หรือ! อย่าลืมสิ! ด้วยคุณสมบัติของศิษย์น้องเกามีโอกาสสูงที่จะก้าวเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ” หญิงผู้เป็นภรรยากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“งั้นก็รอเกาชงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้วท่านทั้งสองค่อยมาหาข้าเถอะ ตอนนี้เหรอ? ในเมื่อคุยไม่ถูกเส้นกัน อีกอย่างข้าก็ยังยุ่งมากด้วย คงไม่คุยเป็นเพื่อนท่านทั้งสองแล้วล่ะ” หลิ่วหมิงหัวเราะกล่าวออกมา

จากนั้นเขาก็ทำท่ามือโดยไม่สนใจคนทั้งสองอีก เขาทะยานขึ้นเวหาเหาะไปยังยอดเขาหลักของนิกายปีศาจ

“ทำอย่างไรดี! คิดไม่ถึงว่าถึงแม้เจ้าเด็กนี่จะอายุยังน้อยแต่กลับรับมือได้ยากขนาดนี้” หญิงผู้เป็นภรรยาเห็นเช่นนี้ก็หันหน้าไปถามชายหน้าดำ คิ้วทั้งสองของนางขมวดกันเป็นเส้นตั้งตรง ดูเหมือนจะโมโหเป็นอย่างมาก

“ศิษย์น้องไป๋ผู้นี้อายุยังน้อย แต่สามารถสร้างชื่อเสียงเล็กๆ ในระยะเวลาอันสั้นนี้ได้ ย่อมมีข้อดีเหนือผู้อื่น อาศัยคำพูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยคขู่เข็ญเขาแล้วให้เขาทำตามคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นไร ตามที่ข้าสืบมาเขาไม่ได้ไปรับภารกิจแต้มคุณูปการมานานแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะอยู่แต่ในนิกายและไม่ออกไปข้างนอกจริงๆ กลับไปปรึกษากับพวกศิษย์พี่อู๋ ให้แบ่งคนเป็นกลุ่มๆ ผลัดเปลี่ยนกันไปเฝ้าอยู่ที่ด้านนอกประตูนิกาย ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่มีโอกาสจับเขามาสั่งสอนได้ ศิษย์อายุยังน้อยเช่นนี้ถึงแม้จะพูดได้ดี แต่เมื่อได้รับการสั่งสอนที่เข็ดหลาบแล้วก็จะรู้เองว่าอะไรเป็นสมันอะไรเป็นเสือ คนแบบไหนถึงไม่ควรล่วงเกิน” ชายหน้าดำกล่าวอย่างเยือกเย็น

“ดี! งั้นก็ทำตามนี้เถอะ! ใช่สิ! ได้ยินมาว่ามู่อวิ๋นเซียนก็ยื่นมือเข้ามาเอี่ยวกับเรื่องนี้ไม่น้อย ควรจะสั่งสอนนางด้วยไหม!” ลวี่อวิ๋นพยักหน้าด้วยความพอใจแล้วอยู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงถามออกไป

“มู่อวิ๋นเซียนเป็นอาหญิงของมู่หมิงจู ตอนนี้ไม่ควรไปแตะต้องนาง เจ้าไม่เห็นหรือว่าโอวหยางซินที่เคยตอแยกับนางมาโดยตลอด ช่วงนี้กลับไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับนาง เป็นเพราะว่ากลัวกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับศิษย์น้องเกา” สือเจียนส่ายศีรษะกล่าวออกมา

“มันก็ใช่! แต่จะว่าไปแล้วเจ้าหนูมู่หมิงจูผู้นี้ก็น่าสงสาร แม้แต่ข้าเองก็มองออกถึงเหตุผลที่ท่านประมุขยอมให้นางใกล้ศิษย์น้องเกา มีแต่นางที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย คิดว่าต่อไปตนเองจะสามารถครองคู่กับศิษย์น้องเกาได้ เกรงว่าเมื่อศิษย์น้องเกากลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณก็คงถึงเวลาที่ต้องใช้นางเป็นเตาหลอมพลังแล้ว!” ลวี่อวิ๋นถอนหายใจกล่าวออกมา

“เจ้าพูดซี้ซั้วอะไร เรื่องแบบนี้เอามาพูดได้เหรอ ถ้าหากว่าเรื่องนี้ถึงหูท่านประมุข เจ้ากลับข้ายังจะมีชีวิตอยู่ได้เหรอ!” พอชายหน้าดำได้ยินเช่นนี้ก็แสดงสีหน้าตำหนิขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันก็มองไปรอบด้านอย่างร้อนรน

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา