ส่วนการหมั้นของเขากับมู่หมิงจู เก็บไว้ก่อนค่อยๆ แก้ไขทีละขั้นตอน ส่วนจะแต่งกับนางหรือไม่นั้นก็ต้องดูท่าทีของนางแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับคนอื่นแล้วระยะเวลาสามปีอาจจะค่อนข้างสั้น แต่สำหรับเขาแล้วกลับสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวต่างๆ ได้อีกมาก
เมื่อครู่เขาได้ฟังมู่อวิ๋นเซียนเล่าเกี่ยวกับศิษย์แกนนำที่ได้รับทรัพยากรจากการประลองใหญ่ และผลประโยชน์มหาศาลการจากเข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายแล้วก็อดใจเต้นขึ้นมาไม่ได้
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่กลายเป็นหนึ่งในสิบของศิษย์แกนนำได้ ทุกปีก็จะได้หินจิตวิญญาณอย่างน้อยหนึ่งถึงสองพันก้อน อย่างมากจะได้สี่ถึงห้าพันก้อน แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาใจเต้นไม่หยุดแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าสามารถรอดชีวิตกลับมาจากการทดสอบความเป็นความตายได้ นิกายปีศาจจะยังมอบไอปีศาจบริสุทธิ์ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทะลวงเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ ในขณะเดียวกันยังเปิดแดนต้องห้ามในที่ต่างๆ ให้พวกเขาสามารถเข้าไปฝึกฝนในนั้นได้ ซึ่งในนั้นจะมีพลังปราณเข้มข้นกว่าภายนอกสิบกว่าเท่า จำนวนวันที่ฝึกฝนอยู่ในนั้นขึ้นอยู่กับผลงานที่ทำได้ในระหว่างการทดสอบ
และทั้งหมดนี้เป็นแค่รางวัลจากนิกายปีศาจเท่านั้น ถ้าหากสามารถชิงอันดับในการทดสอบความเป็นความตายได้ มูลค่ารางวัลที่แต่ละนิกายร่วมกันมอบให้ย่อมมากกว่านี้หลายเท่า
รางวัลอันน่าตกใจนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการทรัพยากรจำนวนมากและรวดเร็วอย่างหลิ่วหมิงแล้ว เขาย่อมไม่ละทิ้งโอกาสนี้อย่างแน่นอน
และนับวันเวลาดูแล้ว ตอนนี้การประลองใหญ่ก็อยู่ห่างออกไปแค่ครึ่งปีแล้ว การทดสอบความเป็นความตายก็จะเริ่มขึ้นหลังจากการประลองใหญ่ไปหนึ่งปี
ถึงแม้เขาจะเชื่อมั่นว่าพลังของเขาจะไม่ด้อยกว่าใคร แต่จะสามารถชิงหนึ่งในสิบอันดับศิษย์แกนนำมาได้หรือไม่นั้น เขาก็ยังไม่มีความเชื่อมั่นมากพอ
การประลองใหญ่ในนิกายนั้น ศิษย์เก่าที่มีอายุสามสิบปีลงมาต่างก็สามารถเข้าร่วมการประลองได้ ในนั้นจะมีเด็กหนุ่มสาวสติปัญญาสูงส่งที่มีพลังน่าตกใจตั้งแต่อายุยังน้อย และยังมีศิษย์เก่าที่ไม่รู้ว่าติดอยู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีแล้ว และฝึกฝนจนพลังเวทย์นั้นแข็งแกร่งจนยากจะเทียบได้
ด้วยสภาพเขาในตอนนี้ ภายในระยะเวลาอันสั้นไม่สามารถเพิ่มพลังเวทย์ให้สูงขึ้นได้อย่างเด่นชัดมากนัก และยังขาดประสบการณ์ในการต่อสู้กับคนอื่น ถึงแม้ตอนอยู่เกาะมฤตยูเขาจะต่อสู้กับคนที่นั่นจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่นั่นเป็นการต่อสู้ของคนธรรมดาสามารถนำมาเป็นประสบการณ์ได้ไม่มาก และการแลกมือระหว่างศิษย์จิตวิญญาณด้วยกันจริงๆ ก็มีแค่ไม่กี่ครั้ง
ถึงแม้ในนิกายจะมีลานต่อสู้ให้ศิษย์แลกมือศึกษากัน แต่ศิษย์โดยทั่วไปก็ไม่มีใครแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา อีกอย่างถ้าหากลงมือหนักจนทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ ก็จะถูกลงโทษอย่างเฉียบขาด มันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับศิษย์จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงแล้ว
ด้วยเหตุนี้หลิ่วหมิงแค่คิดไตร่ตรองเล็กน้อย ก็ละความคิดที่จะไปฝึกฝนการต่อสู้จริงที่ลานต่อสู้นี้
สมองเขาคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้วก็ยิ้มพูดกับตัวเอง
“ใช่แล้ว! ถึงแม้สถานที่นั้นจะอันตรายไปบ้าง แต่ก็เป็นสถานที่ที่ดีในการฝึกต่อสู้ อีกอย่างถ้าไปที่นั่นล่ะก็ต่อให้มีคนมาหาเรื่องก็คงไม่สามารถทำได้โดยง่าย แต่ก่อนอื่นต้องไปหอเก็บคัมภีร์อีกรอบ เพื่อสอบถามเคล็ดวิชาการป้องกันตัวที่เหมาะสมกับตนเองเสียก่อน”
ถึงแม้หอเก็บคัมภีร์ในเขาเก้าทารกก็มีวิชาป้องกันตัวที่เปิดให้ศิษย์ทุกคนได้ฝึกฝน แต่วิชาเหล่านี้ถ้าไม่มีเงื่อนไขในการฝึกฝน ก็ต้องเป็นวิชาที่แสดงผลลัพธ์ได้ไม่ค่อยดี ซึ่งยังไม่มีที่เข้าตาเขาเลยสักวิชา
สำหรับแต้มคุณูปการในมือของหลิ่วหมิง ถึงแม้ก่อนหน้านั้นจะหมดไปกว่าครึ่งหนึ่งเพื่อแลกกับโอสถเพิ่มพลังเวทย์ แต่แต้มคุณูปการที่เหลืออยู่หลายร้อยแต้มก็คงจะสามารถใช้แลกกับวิชาป้องกันตัวได้สักวิชาหนึ่ง
แต่พอนึกถึง ‘อาจารย์อาหร่วน’ ที่ยัดเยียดเคล็ดวิชากระดูกดำให้เขาแล้วก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ก่อนหน้านี้เขาจึงไม่ได้ไปหอเก็บคัมภีร์เป็นครั้งที่สอง เพราะอาจารย์อาหร่วนอาจจะคิดทำอะไรกับเขาโดยที่เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
แต่ในเมื่อเรื่องมันเกี่ยวโยงถึงการประลองใหญ่และการทดสอบความเป็นความตาย เขาก็ได้แต่บากหน้าไปอีกครั้ง อีกอย่างถ้าถือโอกาสถามส่วนที่ไม่เข้าใจในเคล็ดวิชากระดูกดำให้เข้าใจ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง
หลิ่วหมิงคิดอย่างละเอียดอีกรอบ หลังจากเห็นว่าไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสมแล้วก็ออกจากที่พัก และขี่เมฆทะยานฟ้าออกไปจากเขาเก้าทารกมุ่งตรงไปยังยอดเขาหลัก
แต่พอเหาะออกจากเขาเก้าทารกได้ไม่นานก็มีเมฆเทาสองก้อนทะยานขึ้นมาจากตีนเขา และเพิ่มความเร็วจนตามทันหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านหน้า
“ด้านหน้านั้นใช่ศิษย์น้องไป๋ไหม? ช้าลงหน่อยได้หรือไม่ ข้าสองสามีภรรยาอยากคุยกับเจ้าหน่อย”
หลิ่วหมิงรู้ตัวนานแล้วว่ามีคนตามอยู่ด้านหลัง เดิมทีไม่คิดที่สนใจแต่เห็นทั้งสองพูดตามตรงเช่นนี้ก็ลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็หยุดเมฆเทาหันตัวกลับไปมอง
บนเมฆเทาสองก้อนที่ไล่ตามมานั้น มีชายหญิงอายุสามสิบกว่าปีคู่หนึ่งยืนอยู่
ผู้ชายสีหน้าดำคล้ำ ลำแขนอวบใหญ่ สวมชุดทะมัดทะแมง สะพายหอกยาวสีม่วง ผู้หญิงโหนกแก้มค่อนข้างสูง ใบหน้าดูธรรมดา แต่ที่เอวมีแส้สีขาวเส้นหนึ่งพันอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา