หลัวเทียนเฉิงรู้สึกว่าแสงรัศมีสีเขียวอมฟ้าเบื้องหน้ากะพริบวูบวาบไม่หยุด หลังมึนหัวตาลายพักหนึ่ง ครั้นลืมตาขึ้นเงยหน้ามองไปรอบด้าน ทันใดนั้นในสายตาก็เต็มไปด้วยสีเลือด เผยสีหน้าตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่
“นี่มันที่ไหน?”
เมื่อครู่เขาขยี้โซ่แห่งโชคชะตาแหลกในสถานการณ์วิกฤติ ผลกลับปรากฏว่าไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากแดนลึกลับแต่ร่วงลงมาในมิติสีเลือดแห่งนี้
มิติสีเลือดแห่งนี้คล้ายจะไม่ใหญ่นัก แต่รอบด้านหมอกโลหิตลอยวนเวียนขมุกขมัว ท้องฟ้าทั้งผืนถูกหมอกพร่ามัวสีเลือดชั้นหนึ่งหุ้มอยู่ประหนึ่งเปลือกไข่ ในอากาศทุกหนแห่งล้วนอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
ส่วนบนพื้นดินที่เขายืนอยู่ก็เป็นดินไหม้เกรียม ผืนดินสีแดงคล้ำประหนึ่งเคยถูกเลือดนับไม่ถ้วนอาบย้อม ไม่ไกลออกไปมีวัตถุนูนขึ้นมาประหนึ่งยอดเขาตั้งตระหง่านลูกแล้วลูกเล่าเห็นได้อยู่เลือนราง พวกมันหุ้มด้วยสีเลือดชั้นแล้วชั้นเล่าเช่นกัน แม่น้ำสายหนึ่งที่อ้อมผ่านภูเขาก็มีน้ำโลหิตแดงฉานไหลริน
มิติสีเลือดแห่งนี้เป็นโลกที่ย้อมด้วยเลือดทั้งหมด!
ไม่ไกลออกไปจากเขา มีคนสามคนยืนอยู่ที่นั่น
หนึ่งในนั้นคือสตรีชุดเขียวผู้หนึ่ง นางก็คือสตรีสำนักเฮ่าหรานที่แพ้ให้แก่หลิ่วหมิงบนแท่นทองแดงก่อนหน้านี้แล้วถูกเคลื่อนย้ายมาก่อนหน้าเขาก้าวหนึ่งนั่นเอง
เวลานี้นางยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าฉงน หลังพบว่าหลัวเทียนเฉิงปรากฏตัวก็อดไม่ได้มองมาแวบหนึ่ง
หลัวเทียนเฉิงไม่ได้อยากสนใจสตรีนางนี้ เขาหันศีรษะมองไปอีกด้านหนึ่งทันที
อีกสองคนที่เหลือกลับเป็นบุรุษหน้าเหยี่ยวแห่งหุบเขาปีศาจสวรรค์กับชายหนุ่มอัปลักษณ์แห่งนิกายปีศาจลี้ลับซึ่งตกรอบที่ลานหินเขียว ทั้งสองคนมีบาดแผลทั่วร่าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้ายประจันหน้ากันอยู่
ชุดสีขาวของบุรุษหน้าเหยี่ยวเลือดย้อมไปทั่วตัว จากหัวไหล่ซ้ายไปถึงแผ่นหลังด้านซ้ายปรากฏรอยดาบลึกเห็นกระดูกเส้นหนึ่ง บนบาดแผลมีปราณสีดำชั้นหนึ่งแผ่ออกมา บาดแผลกำลังปิดสนิทอย่างเชื่องช้า ส่วนเล็บแหลมคมที่มือขวาของเขามีเลือดปนกับเนื้อแหลกเหลวหลายก้อนติดอยู่
ชายหนุ่มอัปลักษณ์แห่งสำนักปีศาจลี้ลับก็มีรอยเลือดประปรายเช่นเดียวกัน ชุดสีดำที่หุ้มร่างถูกกระชากเปิดเป็นรอยขาดหลายเส้น เมื่อมองผ่านรอยขาดที่แหวกเปิดก็เห็นบาดแผลเลือดเนื้อกระจุยที่ถูกกรงเล็บแหลมคมกรีดฉีกหลายเส้น ส่วนดาบแหลมสีดำเล่มนั้นในมือเขาก็มีเลือดหลายหยดร่วงลงเบื้องล่างดังติ๋งๆ
ทั้งสองคนคล้ายเพิ่งต่อสู้ศึกใหญ่กันมายกหนึ่งก่อนหน้านี้ไม่นาน แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงโผล่มาที่นี่ทั้งคู่
เวลานี้เองอากาศสีเลือดสี่ด้านก็แทบจะไหวกระเพื่อมพร้อมกัน แต่ละทิศปรากฏลำแสงเส้นหนึ่งพุ่งเร็วรี่มา
หลัวเทียนเฉิงกับคนอื่นตกใจไปวูบหนึ่งแล้วทยอยเรียกอาวุธจิตวิญญาณออกมาตั้งท่าระวัง
“สหายทั้งหลาย ช้าก่อน ข้าคือเผิงเยวี่ยแห่งนิกายเทียนกง!” เสียงหนึ่งฉับพลันดังออกมาจากลำแสงสีเหลืองเส้นหนึ่งในนั้น
หลัวเทียนเฉิง สตรีชุดเขียวและคนอื่นได้ยินก็ล้วนมีสีหน้าประหลาดใจ
หลัวเทียนเฉิงปล่อยจิตสัมผัสกวาดออกไปทันที หลังแน่ใจว่าเป็นเผิงเยวี่ยไม่ผิดจึงกวาดต่อไปยังลำแสงอีกสามสายที่เหลือต่อ
หลังลำแสงอีกสามสายดับลงร่อนลงใกล้ๆ กับเผิงเยวี่ย พี่น้องโอวหยางกับเซวียผานจากหุบเขาปีศาจสวรรค์ก็ก้าวออกมาจากด้านใน
หลัวเทียนเฉิงเห็นสถานการณ์นี้แม้ทั้งร่างเจ็บปวดจากบาดแผลก็ตาโตอ้าปากค้างอยู่บ้าง
ส่วนสตรีชุดเขียว บุรุษหน้าเหยี่ยวและชายหนุ่มอัปลักษณ์สามคนที่อยู่ไม่ไกลเห็นเข้าก็มองหน้ากันเช่นกัน
ต้องรู้ว่าเผิงเยวี่ยกับพี่น้องโอวหยางรวมถึงเซวียผานตอนนั้นไม่ได้เข้ามาที่ลานหินเขียว บ่งบอกว่าพวกเขาไม่ตกรอบจากด่านแรกของ ‘ดาราจันทราตะวัน’ ก็จากเขาวงกตด่านที่สอง
ส่วนบุรุษหน้าเหยี่ยวรวมถึงชายหนุ่มอัปลักษณ์สองคนตกรอบในด่านที่สาม
แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่สมควรปรากฏตัวขึ้นที่นี่พร้อมกัน
ในเวลานี้เองเผิงเยวี่ยก้าวออกมาก่อน หลังประสานมือให้พวกเขาก็เอ่ยเสียงแผ่วเบาทันที
“คิดว่าสหายทั้งหลายคงค้นพบความประหลาดของที่แห่งนี้แล้ว พูดไปแล้วก็น่าละอาย พวกเราเสียสิทธิ์เข้าร่วมแดนแห่งมรดกก่อนทุกท่านก้าวหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าหลังพวกเราผ่านค่ายกลของแดนแห่งมรดกเพื่อออกไปกลับมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ พวกเราปรึกษากันพักหนึ่งจึงตัดสินใจว่าจะแยกย้ายกันหาทางออก ผลปรากฏว่าพวกเราเหาะไปจนถึงปลายสุดกลับพบกำแพงเนื้อสีแดงที่ขยับยุกยิกไม่หยุดผืนใหญ่ ไม่เพียงน้ำไฟไม่อาจลอดผ่าน อาวุธจิตวิญญาณหรือวิชาใดๆ ก็ไม่อาจทำลายได้สักนิด คิดว่าทุกท่านที่เหลือก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันสินะ”
เผิงเยวี่ยพูดถึงตรงนี้ก็มองไปทางเซวียผานรวมถึงพี่น้องโอวหยางที่อยู่ด้านหลังร่าง
“สิ่งที่พวกเราสองพี่น้องพบเป็นเช่นเดียวกับสหายเผิง ที่แห่งนี้ไม่ใหญ่แต่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แปลกประหลาดอย่างที่สุดจริงๆ” หลังโอวหยางเชี่ยนส่งกระแสจิตกับเด็กสาวชุดเขียวครู่หนึ่งแล้วเห็นสายตาของเผิงเยวี่ยที่มองมาหาตน คิ้วงามก็ขมวดเล็กน้อยขณะที่พยักหน้าเอ่ยบอก
เสียงพูดเพิ่งจบลง โอวหยางเชี่ยนก็หันหน้ามองไปทางเซวียผาน
เซวียผานพยักหน้า เห็นชัดว่าสิ่งที่เขาพบไม่ต่างอันใดกับทั้งสามคนที่เหลือ แต่หลังครุ่นคิดนิดหนึ่งก็เอ่ยปากอีกหน
“ดูท่าพวกเราคงได้แต่บีบโซ่โชคชะตาให้แหลก แม้ทำเช่นนี้โชคชะตาที่ได้มาก่อนหน้านี้จะเสียเปล่า ทว่านี่ก็เป็นหนทางที่เลือกไม่ได้ อย่างไรก็ดีกว่าถูกขังอยู่ที่นี่”
“ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่ต้องลองแล้ว” เวลานี้เองหลัวเทียนเฉิงกลับเปิดปากเอ่ยขึ้น
“สหายหลัวหมายความว่าอย่างไร” เผิงเยวี่ยได้ยินก็อดไม่ได้เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา